โควิดที่ชายแดนภาคใต้ จะคลี่คลายได้ต้องอาศัยความไว้วางใจ ไม่ใช่การใช้อำนาจบังคับ
จากกรณีที่นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีคำสั่งจัดตั้ง ศบค.ส่วนหน้า เพื่อเข้าไปจัดการสถานการณ์โควิด-19 ที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งประกอบไปด้วยจังหวัด นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2564 ที่ผ่านมา
จากการหารือกับคณะทำงานของพรรคก้าวไกลในพื้นที่ ผมรับทราบว่าอุปสรรคสำคัญในการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ ขณะนี้ หลักๆ มีอยู่ 2 ปัจจัยด้วยกัน :
(1) ประชาชนไม่ยอมฉีดวัคซีน
การที่ประชาชนในพื้นที่ไม่ยินยอมที่จะฉีดวัคซีน ซึ่งในประเด็นนี้ รัฐบาลไม่ควรมองปัญหาอย่างผิวเผิน และด่วนสรุปว่าประชาชนในพื้นที่ไม่ให้ความร่วมมือ หากรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ กล้าที่จะถามตัวเองว่า “เหตุใดประชาชนถึงไม่ให้ความร่วมมือในการฉีดวัคซีน ?” ก็จะหาคำตอบได้ไม่ยาก นั่นก็คือ “ประชาชนไม่มีความไว้วางใจในรัฐบาล จากกรณีข่าวการซ้อมทรมาน และการที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้ความรุนแรงกับประชาชน ที่ปรากฏตามหน้าสื่ออยู่เป็นระยะๆ” พอประชาชนไม่ไว้วางใจรัฐบาล ก็เป็นการยากมากๆ ที่ประชาชนจะเต็มใจปฏิบัติตามคำแนะนำจากรัฐบาลในการควบคุมการระบาดของโรค ยิ่งการฉีดวัคซีน เป็นการนำเอาสารชีววัตถุที่เป็นของใหม่ ที่การเข้าถึงข้อมูลยังคงอยู่ในระดับที่จำกัด ยิ่งทำให้ประชาชนที่ไม่ไว้วางใจรัฐบาลอยู่เป็นทุนเดิม มีความระแวงที่จะฉีด ปัญหานี้จะแก้ด้วยการใช้อำนาจบังคับแบบตรงๆ ไม่ได้ ต้องอาศัยความเข้าใจผ่านผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา และบุคคลที่ประชาชนในพื้นที่ให้ความไว้เนื้อเชื่อใจ เป็นกลไกในการรณรงค์ให้ประชาชนในพื้นที่มาเข้ารับการฉีดวัคซีน
การจัดตั้ง ศบค.ส่วนหน้า แล้วใช้อำนาจบังคับแบบทันทีทันใด เป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงอย่างมาก ยกตัวเอย่าง สมมติมีการใช้อำนาจบังคับหรือกึ่งบังคับ ให้ประชาชนในพื้นที่ฉีดวัคซีน จริงอยู่ที่ในระยะสั้นอาจจะบังคับเกณฑ์ประชาชนมาฉีดวัคซีนได้เป็นจำนวนมากได้ แต่ต้องยอมรับว่าการฉีดวัคซีนนั้น แม้ว่าจะมีความเสี่ยงที่ไม่มากนัก แต่ก็ถือว่ามีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับประโยชน์ในการปกป้องชีวิตของทั้งตัวเอง และคนในครอบครัวจากโรคระบาด ก็ยังถือว่าการฉีดวัคซีนนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นและมีความคุ้มค่าที่จะฉีด ถ้าหากประชาชนที่ถูกเกณฑ์มาฉีดไม่เข้าใจในประเด็นนี้ และเมื่อมีประชาชนจำนวนหนึ่งได้รับผลข้างเคียง หรือมีอาการไม่พึงประสงค์หลังจากที่ฉีดวัคซีน ความไม่เข้าใจที่ถูกรัฐบังคับ ก็จะกลายเป็นความโกรธแค้น และจะทำให้ความขัดแย้ง และความไม่ไว้วางใจในรัฐบาลของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ขยายตัวเพิ่มขึ้น
ดังนั้น แทนที่รัฐบาลจะจัดตั้ง ศบค.ส่วนหน้า ขึ้นมาใช้อำนาจซ้ำซ้อน รัฐบาลควรใช้กลไกของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มากกว่า โดยมีการสนับสนุนทางด้านงบประมาณ และกำลังคนให้แก่ ศอ.บต. อย่างเต็มที่
(2) ขาดความพร้อมด้านทรัพยากร
อุปสรรคสำคัญในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแตนภาคใต้ ก็คือ ความพร้อมทางด้านทรัพยากรบุคคล ยาและเวชภัณฑ์ เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ ศูนย์ดูแลผู้ป่วยและกักกันโรคประจำชุมชน (Community Isolation Center) ซึ่งในส่วนนี้ หากรัฐบาลจะสั่งการให้ กองทัพ หรือฝ่ายความมั่นคง นำเอากำลังพลเข้ามาช่วยเสริมในจุดนี้ หากจัดสรร และวางหน้าที่กันอย่างชัดเจน ก็น่าจะช่วยแบ่งเบาภาระของหน่วยงานทางด้านสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตราบใดที่ยาและเวชภัณฑ์มีไม่เพียงพอ ประชาชนที่ติดเชื้อเข้าถึงยาต้านไวรัสได้อย่างล่าช้า อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นต่างๆ เช่น เครื่องออกซิเจนไฮโฟลว์ เครื่องฮีโมเปอร์ฟิวชั่น ฯลฯ ขาดแคลน ต่อให้มีการจัดตั้ง ศบค.ส่วนหน้า ขึ้นมา ก็ไม่อาจที่จะควบคุมการแพร่ระบาดได้ ซึ่งในประเด็นสำคัญเหล่านี้ คนที่มีความรู้ความเข้าใจมากที่สุด คือ หน่วยงานด้านสาธารณสุข ไม่ใช่หน่วยงานด้านความมั่นคง