เป็นเวลา 1 สัปดาห์แล้วที่รัฐบาลมีคำสั่งให้กลับมาเปิดเมืองและเปิดเรียนได้ แต่เนื่องจากการประกาศเปิดเมืองในครั้งนี้เกิดจากอาการกลัวเสียหน้าว่าจะไม่สามารถเปิดเมืองได้ภายใน 120 วันอย่างที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศไว้ ไม่ได้เกิดจากความพร้อม เราจึงเห็นว่าลักลั่นที่เกิดขึ้นตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
เรื่องแรกก็คือการตั้งเงื่อนไขเพียงไม่กี่วันก่อนเปิดเมืองว่า ร้านอาหารและผู้ประกอบการการท่องเที่ยวต่างๆ ลงทะเบียน เพื่อขอการรับรองมาตรฐาน SHA (Amazing Thailand Safety & Health Administration) จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จึงจะเปิดให้บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในร้านได้ ทำให้เป็นภาระแก่ผู้ประกอบการอย่างมาก ระบบการลงทะเบียนก็ล่าช้า ผู้ประกอบการหลายราย ลงทะเบียนไปแล้วกว่า 2 สัปดาห์ ก็ยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียน SHA เนื่องจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ไม่ได้มีกำลังคนเพื่อรองรับการขึ้นทะเบียน และการสุ่มตรวจสอบ ให้กับร้านค้า และผู้ประกอบการเป็นจำนวนมากขนาดนี้
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล ตั้งข้อสังเกตว่า หลักเกณฑ์ในการขึ้นทะเบียน SHA ยังเป็นหลักเกณฑ์ที่เอื้อให้กับผู้ประกอบการโรงแรมขนาดใหญ่เท่านั้น หลายเงื่อนไข เป็นเงื่อนไขที่ร้านอาหารและสถานประกอบการท้องถิ่นไม่สามารถปฏิบัติได้ หากรัฐบาลยืนยันที่จะใช้หลักเกณฑ์นี้ ก็เท่ากับว่าจะเป็นการกีดกันทางการค้า ที่อุ้มแต่โรงแรม และผู้ประกอบการขนาดใหญ่ และลอยแพร้านอาหาร และผู้ประกอบการคนตัวเล็กตัวน้อยในท้องถิ่น
“นอกจาก SHA แล้ว รัฐบาลยังกำหนดมาตรฐาน SHA Plus ซ้อนขึ้นมาอีก โดยเพิ่มเงื่อนไขที่พนักงานต้องได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 มากกว่า 70% เข้าไป ซึ่งสามารถทำได้ แต่รัฐบาลต้องมีมาตรการการจัดฉีดวัคซีนให้กับผู้ประกอบการในย่านเศรษฐกิจ และย่านท่องเที่ยวต่างๆ ควบคู่กันไปด้วย ไม่ใช่กำหนดแต่เงื่อนไข แล้วก็ลอยแพให้ผู้ประกอบการรายย่อยไปดิ้นรนหาวัคซีนฉีดกันเองแบบที่เป็นอยู่ แทนที่จะเป็นมาตรการในการส่งเสริมการท่องเที่ยว กลับกลายเป็นมาตรการที่กีดกันทางการค้า ทำร้ายผู้ประกอบการขนาดย่อม ซ้ำยังเป็นการเอื้อให้เจ้าหน้าที่นอกรีต ออกรีดไถซ้ำเติมผู้ประกอบการร้านค้า ในยามทุกข์ยามยากอีกด้วย”
พรรคก้าวไกลจึงเรียกร้องให้รัฐบาลใช้มาตรฐาน SHA เพียงมาตรฐานเดียว โดยปรับหลักเกณฑ์ที่ร้านอาหาร และสถานประกอบการรายย่อยระดับท้องถิ่นสามารถปฏิบัติได้ โดยให้ท้องถิ่นทำหน้าที่ในการขึ้นทะเบียน และสุ่มตรวจสอบ แทนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พร้อมทั้งจัดการฉีดวัคซีนให้กับผู้ประกอบการ ในย่านเศรษฐกิจ และย่านการท่องเที่ยว ควบคู่ไปด้วย โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการเร่งนำพนักงานมารับการฉีดวัคซีนให้มากกว่า 70% ภายในระยะเวลาที่รัฐบาลกำหนด โดยไม่จำเป็นต้องมีมาตรฐาน SHA Plus ซ้ำซ้อน ซ้ำเติมผู้ประกอบการ
ประการที่สอง คือ การเปิดเรียนแบบ On-Site ที่ยังมีหลักเกณฑ์ไม่รัดกุมมากพอ ขณะเดียวกันก็ยังไม่มีการปรับหลักสูตรการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ส่งผลให้นักเรียนและผู้ปกครองยังไม่มั่นใจในความปลอดภัยและคุณภาพการเรียนการสอน
พรรคก้าวไกลยืนยันว่า เห็นด้วยกับการเปิดเรียนแบบ On-Site เนื่องจากมีงานวิจัยที่ประเทศญี่ปุ่นที่ชื่อว่า No Causal Effect of School Closures in Japan on the Spread of COVID-19 in Spring 2020 ซึ่งตีพิมพ์ลงในวารสาร Nature Medicine ระบุว่า การปิดโรงเรียนไม่ได้มีผลต่อการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในเมื่อห้างสรรพสินค้ามีผู้คนเดินหมุนเวียนจำนวนมาก ยังสามารถเปิดให้บริการได้ โรงเรียนก็ควรเปิดได้เช่นกัน แต่ต้องมีมาตรการการกำกับดูแลที่เหมาะสม เป็นจริง ไม่ตึง ไม่หย่อนเกินไป
เพื่อความมั่นใจในความปลอดภัยของนักเรียน และความสบายใจของผู้ปกครอง การเปิดเรียนแบบ On-Site ของกระทรวงศึกษาธิการ ควรปรุงหลักเกณฑ์ให้รัดกุม ภายใต้เงื่อนไขที่ปฏิบัติได้ไม่ตึงตัวเกินไป ดังต่อไปนี้
- กำหนดให้ครูประจำชั้น ครูผู้สอน และบุคลากรในทุกพื้นที่ ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม ตั้งแต่ร้อยละ 85 ขึ้นไป ไม่ใช่แค่ในพื้นที่สีแดงตามกำหนดของกระทรวงศึกษาธิการ และครูที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคหรือวัคซีนเชื้อตาย แม้ว่จะฉีดครบ 2 เข็มแล้ว ควรได้รับการฉีดเข็มที่ 3 ด้วย
- เร่งรณรงค์การฉีดวัคซีนที่มีคุณภาพให้กับนักเรียน ภายใต้คำแนะนำของราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ โดยปัจจุบันได้มีผลการทดสอบการวัคซีนไฟเซอร์ให้กับเด็กอายุ 5-11 ปี ในปริมาณ 1/3 โดสของผู้ใหญ่ ซึ่งหากฉีดวัคซีนที่มีคุณภาพสูงให้กับครู บุคลากร และนักเรียน ได้ครอบคลุมเพียงพอ ก็จะทำให้การติดเชื้อไม่น่ากังวลนัก เพราะไม่ป่วยหนัก ควบคุมได้
- งดพิธีกรรม และกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มของนักเรียนในที่แออัด เช่น การรวมตัวเข้าแถวในตอนเช้า เป็นต้น
- หากนักเรียนเป็นไข้ เจ็บป่วย ให้พักรักษาตัวที่บ้าน ไม่ต้องไปโรงเรียน หากพบนักเรียนติดเชื้อ COVID-19 ให้ตรวจ ATK นักเรียนที่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิด หากพบนักเรียนคนใดติดเชื้อ ให้พักรักษาตัวจนหายดี จึงกลับมาเรียนตามปกติ
- มีการตรวจ ATK กับครู และบุคลากรของโรงเรียนทุก 2 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน หากสถานการณ์อยู่ในสภาวะที่ควบคุมได้ หรือทั้งโรงเรียน ซึ่งประกอบด้วยครู นักเรียน และผู้ปกครอง มีอัตราการฉีดวัคซีนมาครอบคลุมเพียงพอ อาจพิจารณางดการตรวจได้ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการตรวจ ATK ให้กับโรงเรียน
- กระทรวงศึกษาธิการ ควรเป็นผู้ผลิตหลักสูตรการเรียนการสอนแบบ Online พร้อมเอกสารประกอบการสอนต่างๆ ที่มีคุณภาพที่ดีกว่า DLIT หรือ DLTIV เพื่อให้นักเรียนทุกโรงเรียน สามารถใช้เรียนได้ ไม่ควรปล่อยให้แต่ละโรงเรียนจัดทำกันเอง ซึ่งเป็นภาระของครูผู้สอนเป็นอย่างมาก และไม่มีความประหยัดต่อขนาด หรือที่เรียกว่า Economy of Scale
- ควรปรับปรุงหลักสูตรโดยการลดวิชาเรียนลง จัดการเรียนการสอนเฉพาะวิชาหลัก สำหรับวิชาอื่นๆ ให้จัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการโดยนำเอาหลายวิชามาจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบผสมผสาน เพื่อลดเวลาเรียนให้กับเด็ก มีนโยบายในการควบคุมปริมาณการบ้านที่จริงจัง ไม่ให้การบ้าน และการทำรายงานเป็นภาระที่ซ้ำเติมทั้งเด็ก และครู จนเสียสุขภาพจิต และมีเจตคติที่ไม่ดีต่อการเรียนรู้ รวมทั้งควรมีคำสั่งชัดเจนให้ปรับวิธีการประเมินผลให้มีความยืดหยุ่น โดยไม่จำเป็นต้องจัดสอบในทุกวิชา
วิโรจน์ ย้ำว่า การปรับตัวทางการศึกษาในสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ไม่ใช่การเอารูปแบบการเรียนการสอนแบบเดิมที่ทวนกระแสแห่งยุคสมัยยัดเข้าไปในระบบออนไลน์ แต่ต้องเปลี่ยนแปลงวิธีคิดในการจัดการเรียนการสอนใหม่เสียหมด แล้วนำเอาระบบออนไลน์มาช่วยสนับสนุน
“การเปิดเรียนแบบ On-Site นั้นมีผลต่อเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนอย่างมาก เพราะการทำมาหากินหลายอย่างนั้นผูกอยู่กับการเปิดเรียน ทั้งการขนส่งสาธารณะ การค้าขายอาหาร ฯลฯ รวมทั้งต้องยอมรับว่า โรงเรียนไม่ใช่แค่สถานที่การจัดการเรียนการสอนให้กับเด็กๆ เท่านั้น แต่เป็นที่สถานที่ปลอดภัยของลูก ที่ทำให้พ่อแม่สามารถออกไปประกอบอาชีพ ทำมาหากินหารายได้ ได้อย่างสบายใจอีกด้วย”
โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าว