
รัฐบาลไทยตอบคำถามนานาชาติ เรื่องสิทธิมนุษยชน ในเวที UPR ขัดกับความเป็นจริง
จบลงแล้ว! การเสนอรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยตามกลไก Universal Periodic Review (UPR) รอบที่ 3 ต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เราได้ฟังท่าทีและจุดยืนของรัฐบาลในเรื่องสิทธิมนุษยชนที่สำคัญๆ หลายประเด็น ทั้งเรื่องการต่อต้านการทรมานและการบังคับให้หายสาบสูญ การดำเนินการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ขจัดความไร้รัฐไร้สัญชาติ แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ เป็นต้น
ทั้งนี้ พรรคก้าวไกล หยิบยกคำตอบของคณะผู้แทนรัฐบาลไทย ต่อประเด็นสิทธิมนุษยชนไทย ที่หลายประเทศ
ตั้งคำถามกับคล้ายๆ กัน ต่อรัฐบาลไทย ตั้งแต่เรื่องกฎหมายอาญามาตรา 112 การชุมนุมโดยสงบของประชาชน ไปจนถึงประเด็นสมรสเท่าเทียม
กฎหมายอาญามาตรา 112
ผู้แทนรัฐบาลไทยระบุว่า กฎหมายนี้ถือเป็นการปกป้องสถาบันหลักของชาติและความมั่นคงของชาติ และในทางปฏิบัติ เจ้าหน้าที่ไม่ได้ตั้งข้อหาและดำเนินคดีทุกคนที่ถูกแจ้งความในคดีนี้ โดยอัยการสูงสูดจะเป็นผู้ตัดสินใจแต่เป็นผู้เดียวว่าจะดำเนินคดีหรือไม่ การอุทธรณ์คดีก็สามารถทำได้ และหากไม่มีแนวโน้มว่าจะทำผิดกฎหมาย ก็จะได้รับการประกันตัว พร้อมย้ำว่า การทบทวนแก้ไขกฎหมายเป็นเรื่องที่ประชาชนไทยจะเป็นผู้ตัดสินใจ ปัจจุบันมีการหารือเรื่องนี้ผ่านกลไกรัฐสภาและรัฐธรรมนูญ เพื่อรับฟังเสียงที่หลากหลาย
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันกับที่ผู้แทนไทยกำลังบอกกับประชาคมโลกว่า ไทยเปิดรับฟังเสียงที่หลากหลายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ศาลรัฐธรรมนูญไทยก็ได้วินิจฉัยว่า การปราศรัย “ชุมนุม 10 สิงหา” ที่เรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ “เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยไม่สุจริต มีมูลเหตุจูงใจเพื่อล้มล้างการปกครอง” และคนที่โดนคดี ม.112 จำนวนมากกำลังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำโดยที่ไม่ได้รับสิทธิปล่อยตัวชั่วคราวมานานเป็นเดือนๆ แล้ว
เสรีภาพในการแสดงออก
ผู้แทนรัฐบาลไทยยืนยันว่า รัฐบาลเคารพเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน แต่รัฐบาลต้องควบคุมการใช้เสรีภาพในการแสดงออกให้มีอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย เพื่อไม่ให้มีการอ้างเสรีภาพในการแสดงออกไปละเมิดสิทธิและชื่อเสียงของผู้อื่น สร้างความเกลียดชัง และบ่อนทำลายความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยของชาติ
ในช่วงโควิด-19 ระบาด รัฐบาลต้องควบคุมข้อมูลให้ถูกต้อง และต้องมีมาตรการป้องกันความปลอดภัยของประชาชน เช่น การห้ามรวมตัวและชุมนุม ส่วนสื่อก็มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในแพลตฟอร์มต่างๆ เมื่อมีข้อห้ามบางอย่าง ก็จะเป็นเรื่องที่จำเป็นและชั่วคราวเท่านั้น เพราะไม่ให้มีการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ไม่ใช่มีเจตนาคุกคามสื่อเลย
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าคำตอบของผู้แทนรัฐบาลไทยสะท้อนแนวคิดของรัฐบาลอำนาจนิยมที่ต้องการควบคุมประชาชนให้อยู่ในกรอบที่ตัวเองวางไว้ โดยอ้างเรื่องความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย ซึ่งมีการตีความกว้างเกินไป อีกทั้งยังใช้ข้ออ้างเรื่องโรคระบาดในการจำกัดเสรีภาพของประชาชน โดยเลือกปฏิบัติกับผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล อย่างที่เราเห็นอยู่ตลอดในช่วงที่ผ่านมา
พ.ร.บ. ต่อต้านซ้อมทรมานและบังคับสูญหาย
ผู้แทนรัฐบาลไทยตอบว่า พ.ร.บ.ต่อต้านการซ้อมทรมานและบังคับสูญหาย ผ่านวาระ 1 แล้ว และกำลังอยู่ในกมธ.วิสามัญ และคาดว่า ภายในสิ้นปีนี้จะผ่านวาระ 2 และในปี 2560 มีการตั้งคณะทำงานติดตามคดีซ้อมทรมานและบังคับสูญหาย
น่าสังเกตว่า ร่าง พ.ร.บ. ต่อต้านการซ้อมทรมานและบังคับสูญหาย พรรคก้าวไกลยื่นต่อสภามาแล้วมากกว่า 1 ปี 3 เดือน แต่เพิ่งผ่านวาระที่ 1 เท่านั้น และเป็นการผ่านร่างฯ เพียงไม่กี่เดือนก่อนที่รัฐบาลไทยจะมาตอบคำถามบนเวที UPR
นอกจากนี้ อังคณา นีละไพจิตร นักสิทธิมนุษยชน ยังตั้งข้อสังเกต บนเวทีเสวนาของแอมเนสตี้ อินเทอร์เนชั่นแนล ว่า ร่าง พ.ร.บ. ของกระทรวงยุติธรรม ยังไม่ครอบคลุมการซ้อมทรมานแบบที่ไม่มีบาดแผล ไม่มีหลักฐาน เช่น การทรมานแบบสำลักน้ำ หรือ waterboarding และการคลุมถุงดำอย่างที่เห็นในกรณี ‘ผู้กำกับโจ้’ ส่วนผู้เสียหายที่สามารถฟ้องร้องคดีได้ก็จำกัดอยู่แค่คู่สมรสที่จดทะเบียน ซึ่งไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนสมัยนี้ที่ไม่ค่อยจดทะเบียนสมรสกัน อีกทั้งยังไม่ครอบคลุมคู่รักเพศเดียวกันอีกด้วย
พ.ร.ก.ฉุกเฉินในจังหวัดชายแดนใต้
ผู้แทนรัฐบาลไทย ชี้แจงว่า การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในจังหวัดชายแดนใต้ ยังมีจำเป็นและได้สัดส่วนกับสถานการณ์ในพื้นที่ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป อยู่ภายใต้หลักการความจำเป็นและได้สัดส่วน และแม้เจ้าหน้าที่จะมีอำนาจมากขึ้นภายใต้ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่จนท.ก็ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตและไม่เลือกปฏิบัติ และคณะรัฐมนตรีเพิ่งอนุมัติแผนการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในจังหวัดชายแดนใต้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ในช่วงปี 2565 – 2570 ซึ่งจะพิจารณาว่าเกิดเหตุรุนแรงในพื้นที่บ่อยหรือไม่
ข้อเท็จจริงของการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในจังหวัดชายแดนใต้ คือ จังหวัดชายแดนใต้อยู่ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2548 ซึ่งเวลากว่า 16 ปีแล้ว มีการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่องจนเป็นปกติ อีกทั้งยังมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนของคนในพื้นที่หลายด้าน ให้อำนาจกับเจ้าหน้าที่ในการเข้าไปจับกุมผู้ต้องสงสัยและผู้เห็นต่าง เข้าค้นบ้านโดยไม่ขอหมายจากศาล มีทดลองเก็บประวัติส่วนตัว เก็บดีเอ็นเอ ตัดอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
สิทธิกลุ่มหลากหลายทางเพศ
ผู้แทนจากกระทรวงยุติธรรม อธิบายว่า กระทรวงยุติธรรมผลักดัน พ.ร.บ.คู่ชีวิต ให้คู่รักเพศเดียวกันได้รับสิทธิในการถือครองที่ดินร่วมกัน และรับมรดกกันได้ นอกจากนี้ มีการฝึกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ให้เข้าใจสิทธิและความต้องการเฉพาะด้านของคนข้ามเพศในเรือนจำด้วย
การตอบคำถามเรื่องนี้ของกระทรวงยุติธรรมดูจะเป็นการตอบไม่ตรงคำถามนัก เพราะหลายประเทศถามออกมาอย่างชัดเจนว่า ไทยพิจารณาจะให้สิทธิการสมรสเท่าเทียมให้กับกลุ่มหลากหลายทางเพศหรือไม่ ในขณะที่กระแสสังคมไทยเองก็เรียกร้องการสมรสเท่าเทียมกันอย่างหนาหู พรรคก้าวไกลเองก็ยื่น พ.ร.บ. แก้ ปพพ. เพื่อการสมรสเท่าเทียม ไปตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2563 ผ่านมาเกือบปีครึ่ง ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ แม้ ร่าง พ.ร.บ. นี้จะมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นตามมาตรา 77 เป็นจำนวนมากกว่า 50,000 คน ซึ่งมากที่สุดเมื่อเทียบกับการแสดงความคิดเห็นในร่างพระราชบัญญัติอื่นๆ และมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย