ต้องบอกว่าสร้างชื่อเสียงกระหึ่มโลกจริงๆ สำหรับ ‘บาส-เดชาพล’ และ ‘ปอป้อ-ทรัพย์สิรี’ ที่ยังคงท็อปฟอร์มต่อเนื่องในปีนี้ โดยสามารถคว่ำคู่ญี่ปุ่น คว้าแชมป์โลกแบดมินตันคู่ผสม สร้างประวัติศาสตร์เป็นคนไทยคู่แรกที่ได้แชมป์โลกแบดมินตันได้สำเร็จ เป็นการคว้าแชมป์รายการที่ 5 ต่อเนื่องจากจำนวน 12 แชมป์ของทั้งคู่ และยังครองตำแหน่งมือ 1 ของโลกเมื่อสิ้นสุดการแข่งขันในปีนี้ นี่จึงเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจอย่างสำหรับตัวนักกีฬาทั้งสองและทีมงาน รวมถึงเป็นเกียรติภูมิของชาติเมื่อเห็นธงชาติไทยขึ้นสู่ยอดเสา แต่ช่วงเวลาอันแสนพิเศษนี้กลับไม่เกิดขึ้น เพราะแทนที่ธงชาติไทยจะค่อยๆขยับสูงขึ้นไปพร้อมๆ กับเสียงเพลง เรากลับต้องใช้ธงที่ เขียนว่า BAT (Badminton Association of Thailand) ของสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ขึ้นสู่ยอดเสาแทน
สาเหตุของเรื่องนี้สืบเนื่องมาจากการทำผิดกฎขององค์กรสารกระตุ้นโลก หรือ WADA โดยมีคำเตือนมายังประเทศไทยถึงบทลงโทษตั้งแต่ปีที่ผ่านมาว่า หากไม่มีการแก้ไขปัญหาให้สอดคล้องกับกฎของ WADA ไทยจะถูกแบนห้ามจัดการแข่งขันทุกชนิดกีฬาในระดับนานาชาติ ส่วนนักกีฬาแม้ว่าจะได้รับอนุญาตให้แข่งขันในระดับภูมิภาค ระดับทวีป และระดับโลก ตามปกติ แต่จะไม่สามารถใช้ธงประจำชาติแข่งขันในรายการที่ IOC และ WADA เป็นผู้ดูแลจัดการแข่งขัน รวมถึงในโอลิมปิก พาราลิมปิก และเอเอฟเอฟ ซูซกิคัพ ที่ทีมชาติไทยกำลังแข่งอยู่ขณะนี้ ที่ต้องใช้โลโก้ช้างศึกแทน และหากเราได้แชมป์รายการนี้ ก็หมายความว่าธงชาติไทยจะไม่ถูกเชิญขึ้นสู่ยอดเสาเช่นกัน
แม้ว่าจะมีคำเตือนมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งครั้งสุดท้าย ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา ส.ส.นครปฐม และโฆษกพรรคก้าวไกล ก็ได้เคยตักเตือนไปยัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ทั้งในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง และมีอำนาจ ‘มากพอ’ ที่จะแก้ไขเรื่องนี้ได้โดยเร็ว หากมีความใส่ใจที่มากพอให้เร่งจัดการเรื่องนี้ให้สำเร็จ
“เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ของวงการกีฬาระดับโลก เมื่อมีข้อสรุปออกมาว่าประเทศไทยต้องแก้กฎหมายหรือต้องปฏิบัติตามกฎเกี่ยวกับสารต้องห้ามอย่างเข้มงวด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะต้องทำงานอย่างเร่งด่วนในการขับเคลื่อนเรื่องนี้เพื่อรักษาเกียรติภูมิของประเทศและความภาคภูมิใจให้กับนักกีฬา และคงต้องถามว่าชายชาติทหารที่ปากบอกว่ารักชาตินักหนา จะไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ หากนักกีฬาของเรา ซึ่งฝึกฝนฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการจนได้ไปแข่งและต่อสู้กับคู่แข่งที่มาจากทั่วโลกจนได้รับรางวัล แต่เขากลับไม่สามารถนำธงของประเทศขึ้นสู่ยอดเสาและร้องเพลงชาติของเราอย่างภาคภูมิใจได้ ความภูมิใจนี้คือสิ่งที่นักกีฬาสมควรได้รับเกียรติอย่างที่ควรเป็นในฐานะตัวแทนของชาติและดีใจไปด้วยกันไม่ใช่หรือ”
“WADA ได้ออกหนังสือส่งเตือนประเทศไทยมาตั้งแต่ปลายปี 2563 แต่ท่านกลับนิ่งนอนใจ หากเป็นเรื่องติดขัดในข้อกฎหมายก็ยิ่งต้องเร่งรีบ เชื่อว่าสภาพร้อมผ่านให้แน่นอน คงจะมาอ้างว่าต้องใช้เวลาไม่ได้ เพราะการตัดสิทธิ์หรือการแบนไม่ใช่การทำแบบปุบปับข้ามวัน ในโอลิมปิกที่ผ่านมา เราก็ได้เห็นบทเรียนความเข้มงวดในเรื่องนี้จนบางประเทศใช้ธงชาติของตัวเองไม่ได้มาแล้ว จึงยิ่งไม่ควรนิ่งนอนใจหรือละเลยคำเตือน ซึ่งมีแต่จะทำให้การแก้ปัญหายากขึ้น”
“มตินี้ไม่ใช่การลงโทษนักกีฬา แต่คือภาพสะท้อนการบริหารจัดการของประเทศนั้นๆ นักกีฬาไทยจึงยังสามารถเข้าร่วมแข่งขันทุกมหกรรมได้ตามปกติ แต่นัยก็คือการไม่สามารถใช้ ‘ธงและเพลงชาติ’ ได้ เป็นเรื่องสำคัญต่อภาพลักษณ์ของไทยในสายตานานาประเทศ และสำคัญอย่างยิ่งต่อศักดิ์ศรีคนกีฬา นอกจานี้ การไม่สามารถเป็นเจ้าภาพในการจัดกีฬาระดับนานาชาติได้ ยังส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของวงการกีฬาและตัดโอกาสทางเศรษฐกิจของประเทศอีกช่องทางที่สามารถใช้มหกรรมต่างๆ ในการเป็นเจ้าภาพจัดแข่งขัน เพื่อสร้างเศรษฐกิจใหม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ จึงขอย้ำอีกครั้งให้ พล.อ.ประวิตร รีบตระหนักและใส่ใจเพื่อจัดการแก้ไขปัญหานี้ให้ลุล่วงไปโดยเร็ว”
จากวันนั้นถึงวันนี้ ในที่สุด สิ่งที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้นก็ได้เกิดขึ้น จากนี้ไปจะมีการแข่งขันกีฬารายการใหญ่อีกหลายรายการรออยู่ โดยที่นักกีฬาไทยจำนวนมากที่เข้าสู่การแข่งขัน ไม่ว่าเพื่อเกียรติภูมิของเขาและประเทศชาติจะไม่ได้สวมเครื่องแบบภายใต้สัญลักษณ์ทีมชาติไทย
คำถามก็คือ กลุ่มคนที่บอกว่ารักชาติกว่าคนอื่น และพูดกรอกหูคนในชาติทุกวี่วันนั้น ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเสียงเพลงชาติและธงชาติที่หายไปเพราะความไม่รู้ร้อนรู้หนาวของตัวเองบ้างเลยหรือ คงต้องบอกว่ารัฐบาลนี้ล้มเหลวในทุกด้าน แม้กระทั่งด้านที่ตัวเองเชิดชูและอวดอ้างกับคนอื่นจริงๆ