
‘ธัญวัจน์’ ชี้ ต้องแก้ ก.ม. ให้ LGBTQ+ ก่อตั้งครอบครัว
การจำกัดในการสมรสเป็นเรื่องของชายและหญิงเท่านั้น ไม่เพียงแต่กีดกันกลุ่มหลากหลายทางเพศไม่ให้สร้างครอบครัวร่วมกันเท่านั้น แต่ยังสร้างบาดแผลความเจ็บปวดให้กับกลุ่มหลากหลายทางเพศหลายครอบครัว ซึ่งร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฉบับที่ พ.ศ. … หรือที่รู้เรียกกันในชื่อร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ต้องการจะคืนสิทธิเสรีภาพที่ถูกพรากไปจากกลุ่ม LGBTQ+
ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้เสนอร่าง พ.ร.บ. นี้ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญคุ้มครองไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องเพศ ร่าง พ.ร.บ. นี้ จะกำหนดให้บุคคล ทุกคน ได้การรับรองสิทธิต่างๆ เช่นสิทธิในเรื่องการหมั้น สิทธิในการจดทะเบียนสมรส สิทธิในการจัดการทรัพย์สินของคู่สมรส สิทธิในการเป็นทายาทโดยธรรม การรับบุตรบุญธรรม และในการรับมรดกจากคู่สมรส ซึ่งการแก้ไขนี้จะทำให้สิทธิบุคคลทุกคนเกิดความเท่าเทียมและได้รับการรับรอง และคุ้มครองทางกฎหมาย สอดคล้องกับหลักความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย และหลักศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
“สิ่งที่เรียบง่ายนี้เองกลุ่มบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศกลับไม่มีสิทธิขั้นพื้นฐานในการก่อตั้งครอบครัว ไม่สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้ ทำให้การก่อตั้งครอบครัวของบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศไม่มี สิทธิ์ ไม่มีศักดิ์ศรีและ ไม่มีสวัสดิการ กฎหมายสมรสเท่าเทียมจึงไม่ได้เป็นการเรียกร้องสิ่งที่ไม่มี แต่เป็นกฎหมายที่เรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานที่ถูกพรากไปตั้งแต่แรก”
ธัญวัจน์ อภิปรายต่อว่า หลายคนอาจจะนึกไม่ออกว่าบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศมีปัญหาอะไรบ้างเมื่อพวกเขาไม่สามารถจดทะเบียนสมรสได้ และบางคนมองว่าดูเหมือนก็เหมือนมีเสรีภาพอยู่แล้วในสังคมปัจจุบัน จึงขอเป็นกระบอกเสียงของคู่รักผู้มีความหลากหลายทางเพศ เพื่อให้ถูกบันทึกไว้ในสภา
“พวงเพชร เหงคำ และ เพิ่มทรัพย์ แซ่อึ๊ง คู่รักหญิงรักหญิง ซึ่งใช้ชีวิตร่วมกันอย่างเรียบง่ายที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน มากว่า 13 ปี แต่ขณะเดียวกันก็เผชิญความทุกข์ร่วมกันจากกฎหมายที่เป็นอุปสรรค ตั้งแต่การเซ็นรับรองเพื่อเข้ารับบริการรักษาพยาบาลแทนไม่ได้ ทำประกันชีวิต จะระบุให้คนรักเป็นผู้รับประโยชน์ ก็ไม่สามารถระบุได้ เพราะมักถูกเรียกหาทะเบียนสมรส เวลาซื้อที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพย์ รวมถึงไม่สามารถกู้เงินร่วมกันเพื่อซื้อบ้าน ก็ไม่สามารถถือครองร่วมกันในฐานะคู่สมรส กลายเป็นซื้อแล้วถือครองกันคนละแปลง หรือพอสร้างบ้านก็กลายเป็นบ้านที่มีกรรมสิทธิ์คนเดียว ไม่สามารถถือครองทรัพย์สินใดๆ ร่วมกันในฐานะคู่สมรสเฉกเช่น ชาย-หญิง”
ธัญวัจน์ ชี้ว่า หลายคนเข้าใจผิดว่าถือครองร่วมกันได้ แต่ในความเป็นจริง คือการต้องใช้ช่องว่างทางกฎหมายซึ่งมิใช่สิทธิที่เท่าเทียม และสิ่งที่คู่รักหลากหลายทางเพศส่วนมากกังวลคือ โดยทั่วไปเมื่อไม่ได้จดทะเบียนสมรส เวลาที่เสียชีวิตทรัพย์สินจะถ่ายทอดไปสู่บุคคลที่มีสายเลือดใกล้ชิดที่สุด ซึ่งในชุมชนของคู่รักหลากหลายทางเพศจำนวนมากไม่ได้อยู่กับครอบครัว รวมถึงครอบครัวไม่ได้มีส่วนในทรัพย์สินที่หามาได้ ดังนั้นคนที่ควรรับทรัพย์สินเหล่านี้คือคนที่ใช้ชีวิตร่วมกัน
นอกจากนี้ ด้าน “สวัสดิการสังคม“ ไปจนถึงนโยบายองค์กรที่ทำงาน ครอบครัวคู่รักหลากหลายทางเพศก็ได้รับไม่เท่ากับคนอื่นๆ เช่น บางองค์กรมีนโยบายองค์กรอาจมีนโยบายช่วยเหลือด้านค่าเล่าเรียนบุตร มีนโยบายด้านสนับสนุนด้านค่ารักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย แต่ครอบครัวที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่ไม่ถูกรับรองในทางกฎหมาย จะถูกมองเป็นบุคคลมากกว่า ไม่ใช่ครอบครัวก็จะไม่ได้รับสวัสดิการเหล่านี้ หรือมียังข่าวน่าเศร้าของครูราชการผู้หญิงข้ามเพศ ‘มิกกี้’ ที่ใช้ชีวิตอยู่กับคนรักมานาน และเมื่อคนรักป่วยเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้ายก็ไม่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลจากราชการได้
“จากข้อมูล LGBT Capital มีประชากร กลุ่มนี้ 4 ล้านคน และอาจมีถึง 7 ล้านคน เพราะไม่เปิดเผยตัวตน หรือข้อมูลจากรุงเทพธุรกิจก็ระบุไว้ว่า กลุ่มที่มีอายุมากกว่า 15 ปี มีจำนวน 3.5 ล้านคน หรือมีสัดส่วน 5 เปอร์เซ็นต์ นี่คือการรอคอยของคนจำนวนมากที่วันนี้ยังไม่มีสิทธิขั้นพื้นฐาน
“ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฉบับที่ พ.ศ. …เป็นปรากฎการณ์ของประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่มีผู้มาให้ความคิดเห็นในกระบวนการมาตรา 77 ถึง 54,451 คน
“การแก้ไขมาตรา 1448 ที่เป็นการสมรสระหว่างชายหญิงเปลี่ยนเป็นระหว่างบุคคลกับบุคคลเป็นใจความสำคัญ และสอดคล้องกับหลักการยอร์คยากาตาร์ ที่เป็นแนวทางสากลว่าด้วยสิทธิมนุษย์ชน ว่าการบัญญัติกฎหมายต้องไม่มองข้ามประเด็นเพศสภาพ เพศวิถี และ อัตลักษณ์ทางเพศ ซึ่งหมายถึงว่า การมีระบบสองเพศในกฎหมาย ส่งผลต่อการดำเนินชีวิต การสร้างครอบครัวของกลุ่มนี้ และในความเป็นจริงเรื่องเพศในปัจจุบัน ไม่ได้มีแค่สองเพศอย่างในอดีตที่เข้าใจ เพราะสิ่งเหล่านี้คือสิทธิขั้นพื้นฐานที่จะดำเนินชีวิตในสิ่งที่ตนเองนิยามตัวตนและวิถีทางเพศที่หลากหลาย”
ธัญวัจน์ ระบุว่า การสร้างครอบครัวของชายหญิงทั่วไปคือการสืบสายโลหิต ส่วนกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศสร้างครอบครัวด้วยสายสัมพันธ์และนี่คือรักที่ไม่มีเงื่อนไข นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่เราทุกคนในสภาผู้แทนราษฎรแห่งนี้ ที่ใช้อำนาจจากประชาชนที่ส่งท่านมาในสภาแห่งนี้ ใช้อำนาจเพื่อให้ประชาชนมีความสุข ให้เกิดความเสมอภาค ท่านทำได้ในวินาที ตอนนี้ ร่วมเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้เกิดความเสมอภาคทางเพศอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่การอภิปรายของ ธัญวัจน์ จบลง นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ลุกขึ้นขอสภารับร่างกฎหมายฉบับนี้ไปศึกษาก่อนส่งกลับคืนให้สภาพิจารณารับหลักการภายใน 60 วัน ซึ่งผลการลงมติเห็นด้วยให้ ครม. ไปพิจารณาก่อน ด้วยคะแนนเสียง 219 ต่อ 118 คะแนน