หากปล่อยให้มีการต่ออายุสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวออกไป เราจะไม่สามารถเเก้ปัญหาการเก็บค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนรวมถึงการใช้ตั๋วใบเดียวขึ้นขนส่งสาธารณะทุกประเภทได้อีกเลยจนกว่าจะสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในปี 2602
พูดให้ชัดก็คือ คนอายุ 20 ปีที่เพิ่งเริ่มทำงานในปีนี้ จะต้องทนจ่ายค่าเดินทางแพงไปตลอดชีวิตการทำงานจนเกือบเกษียณอายุ
การทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าอยู่ในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ รวมถึงการพยายามเชื่อมต่อระบบขนส่งสาธารณะทั้งระบบเข้าด้วยกัน (เรือ รถเมล์ รถไฟฟ้า) คือเป้าหมายของ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล
ระบบขนส่งสาธารณะที่เชื่อมต่อกันทั้งระบบ ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ในราคาที่ไม่แพงจนเกินไปอย่างเช่นทุกวันนี้ จะทำให้เศรษฐกิจของตึกเเถวสองฝั่งถนนคึกคักขึ้นอย่างแน่นอน ปากท้องของพี่น้องประชาชนจะกลับมาดีขึ้นอีกครั้งจากการสัญจรของคนกรุงเทพฯ
“หากรถไฟฟ้าแพงแล้วคนต้องยอมจำนนที่จะขึ้น คนที่ได้ประโยชน์มีแต่บริษัทเดินรถไฟฟ้าอย่างเดียว พ่อค้า เเม่ค้า คนที่ทำธุรกิจ คนตัวเล็กตัวน้อย จะไม่ได้ประโยชน์เกิดขึ้นเลย ที่สำคัญคือ ไม่ใช่แค่สายสีเขียวที่ต้องบริหารจัดการใหม่ แต่จะต้องเริ่มจากสายสีเขียวที่มีผู้โดยสารเยอะที่สุด”
“ผมยืนยันว่าสาเหตุที่บัตรแมงมุมหรือระบบตั๋วร่วมที่เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะผู้ได้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่มีผู้โดยสารเยอะที่สุดไม่ให้ความร่วมมือในการทำตั๋วร่วมเลย ดังนั้น สายสีเขียวต้องเป็นบันไดก้าวแรก แต่หากบันไดก้าวแรกพังไปก่อน ระบบตั๋วร่วมและระบบผู้โดยสารร่วมระหว่างรถเมล์กับรถไฟฟ้าก็จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย”
วิโรจน์ ยังเรียกร้องถึงความโปร่งใสในการเปิดเผยสัญญาว่า ถึงตอนนี้ เรายังไม่เห็น พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ออกมาเปิดเผยเงื่อนไขในการต่ออายุสัมปทานครั้งนี้ ในเมื่อคนกรุงเทพยังไม่เห็นในเรื่องเหล่านี้แล้วจะไปต่อสัญญาได้อย่างไร
“งุบงิบทำแบบนี้ไม่ได้ ผมและเพื่อนส.ส.พรรคก้าวไกล จะออกมาปกป้องผลประโยชน์ของคนกรุงเทพมหานครอย่างถึงที่สุด และไม่ใช่แค่สายสีเขียว นับตั้งแต่วันนี้รถไฟฟ้าทุกสายทุกสี ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครต้องเข้าไปเกี่ยวข้องเพื่อต่อรองราคาค่าโดยสารทั้งหมดให้ได้”
วิโรจน์ ในฐานะว่าที่ผู้สมัคร ผู้ว่า กทม. จากพรรคก้าวไกล กล่าวทิ้งท้าย
“ถ้าผู้ว่าฯ ชื่อวิโรจน์ ต่อให้มีมติ ครม.ออกมา เรื่องนี้รับรองว่าไม่เซ็นแน่ อยากรู้ว่าจะทำยังไงต่อ อย่างไรก็ตาม ก่อนจะมีผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ ผมและพรรคก้าวไกลจะต่อสู้ต่อกับการขยายเวลาต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวอย่างถึงที่สุด”
ด้าน ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ยืนยันว่า พรรคก้าวไกลมีจุดยืนชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการขยายสัมปทาน และเราไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง ด้วยการแอบต่อสัญญาทิ้งทวนภายหลังจากที่มีการเลือกตั้งไปแล้ว เหมือนตอนรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ 1 ซึ่งขณะนั้นอยู่ระหว่างกำลังรอรัฐบาลชุดใหม่
“พรรคก้าวไกลไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เราจะช่วยกันกดดันเรียกร้องต่อรัฐบาลทุกวิถีทาง เพราะหากอนุญาตให้มีการต่อสัมปทานในขณะนี้ จะเป็นการมัดมือชกประชาชนให้จ่ายค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวในราคา 65 บาท ไปอีก 30 ปี และจะเป็นการสูญเสียโอกาสครั้งใหญ่ในการทบทวนสัมปทานและการทำสัญญากับเอกชนในทุกสาย เพื่อทำให้เกิดระบบตั๋วร่วมในการลดค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน จะกระทบเป็นลูกโซ่ ดังนั้น ที่จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรี เราไม่อยากเห็นเรื่องนี้เข้าสู่การประชุม จึงขอให้มีการถอดถอนวาระออกโดยเร็ว ”
ชัยธวัช กล่าว
ส่วน สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล ในฐานะที่เป็นคณะกรรมาธิการคมนาคม กล่าวว่า ในกรรมาธิการมีทั้ง ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน มีมติชัดเจนว่า ไม่เห็นด้วยต่อการขยายสัญญาที่ไม่ชอบธรรมฉบับนี้ และในสัมมนาล่าสุดที่มีการเชิญตัวแทนทุกพรรคการเมือง รวมถึงตัวแทนรัฐมนตรีคมนาคมและกระทรวงมหาดไทย ซึ่งไม่มี ส.ส. คนใด หรือพรรคใด กล้าพูดเปิดอกกับประชาชนว่าเห็นด้วยกับการขยายสัมปทานฉบับนี้ต่อหน้าสาธารณชน ไม่มีใครกล้าบอกว่าจะสนับสนุนเรื่องนี้เลย
“กรณีนี้จึงเป็นการขยายสัมปทานอย่างน่าเกลียดที่สุด เป็นเรื่องที่จะส่งผลเสียหายอย่างมหาศาลหลายแสนล้านบาท นาทีนี้ประชาชนจะต้องเห็นความสำคัญและมาร่วมกันเรียกร้องในการหยุดการต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว”
สุรเชษฐ์ ระบุ