จากกรณีที่มีหมายจับ รังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล ตามข้อกล่าวหาฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจนอกสภา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในกรณีมูลนิธิป่ารอยต่อฯ เมื่อต้นปี 2563 ผลปรากฏว่า ตำรวจได้ชี้แจงต่อ รังสิมันต์ ว่า “สำนวนไม่สมบูรณ์” ตำรวจจะสอบสวนและแจ้งข้อหาเพิ่มเติมในวันที่ 31 มีนาคม จึงไม่ได้มีการฟ้องคดีในวันนี้ ไม่มีการขอฝากขังกันในวันนี้


ทุกครั้งที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจพาดพิงถึง พลเอกประวิตร คดีของ รังสิมันต์ จะมีความเคลื่อนไหว ล่าสุด คือการประเด็นการค้ามนุษย์ในการอภิปรายทั่วไป จึงมีความพยายามขอตัว รังสิมันต์ ไปดำเนินคดีระหว่างสมัยประชุมสภา จึงแย้งไปว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 125 จนพนักงานสอบสวนบอกว่าจะไปถอนหมาย และสุดท้ายก็ออกหมายเรียก ในวันที่ 11 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่ง รังสิมันต์ ได้ชี้แจงว่าไปไม่ได้ในวันนั้น และให้ทนายนัดหมายและตกลงกันด้วยวาจาว่าจะไปรายงานตัวภายในเดือนมีนาคมแน่นอน แต่สุดท้ายก็มีการออกหมายจับ
ตามเงื่อนไขการออกหมายจับ จะออกได้เมื่อถูกร้องในคดีที่มีอัตราโทษจำคุกสูงเกิน 3 ปี หรือมีหลักฐานควรเชื่อว่าจะหลบหนี ซึ่งคดีหมิ่นประมาทฯ โทษไม่ถึง 3 ปี และไม่มีพฤติการณ์หลบหนี แต่ รังสิมันต์ ได้รับหมายเรียกเพียงครั้งเดียว อีกทั้งยังเป็นคดีที่มีอัตราโทษต่ำ จึงควรตั้งคำถามกลับไปว่า การออกหมายจับชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ นี่เป็นความจงใจเร่งดำเนินคดีและมีความพยายามไม่ให้ประกันตัว หวังจะให้หลุดพ้นจากความเป็น ส.ส. หรือไม่



“ในเมื่อสำนวนยังไม่เรียบร้อยเช่นนี้ แล้วทางตำรวจจะดันทุรังเร่งออกหมายจับเพื่อนำตัวผมมาส่งอัยการไปเพื่ออะไร แล้วศาลอนุมัติหมายจับในสำนวนที่ไม่เรียบร้อยแบบนี้ได้อย่างไร มีใครต้องการใช้กระบวนการทางคดีเพื่อกลั่นแกล้งกันหรือไม่”
สิ่งที่เกิดขึ้น สะท้อนชัดว่ามีกระบวนการที่ต้องการทำให้ผู้แทนราษฎรกลัว แต่ รังสิมันต์ พรรคก้าวไกลก็พร้อมจะสู้กลับ การเดินทางไปรายงานตัวตามหมาย แสดงให้เห็นว่า เราไม่ได้ต้องการหลบหนี และต้องการถามกลับไปว่า ถ้าเอาความจริงขึ้นมาพูดกันในประเทศนี้ ผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้ใช่หรือไม่ แล้วประเทศนี้จะอยู่กันอย่างไร

“ผมไม่อยากให้ประเทศแห่งนี้เป็นประเทศที่เมื่อมีคนเอาความจริงมาพูด แล้วผลลัพธ์จะต้องกลายเป็นคดีความอยู่ร่ำไป จนกระทั่งไม่มีใครกล้าตรวจสอบผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลทั่วไปหรือ ส.ส. ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพี่น้องเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย แม้ท่านจะถูกกดดันมาจากเบื้องบน แต่ก็จะต้องไม่นำพาประเทศไปสู่จุดนั้น”
รังสิมันต์ กล่าว
“นี่คือกระบวนการอยุติธรรม ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ เพื่อทำให้พวกเราไม่กล้าที่จะพูด ก่อนจะมาถึงตน มีพี่น้องประชาชนอีกมาก ที่ถูกรังแกก่อน พิสูจน์ให้เห็นว่าการเอาคนเห็นต่างไปจับ การตีกำไลอีเอ็มใส่ข้อเท้าพวกเขา แล้วบอกว่านี่คือการปล่อยตัวชั่วคราว เป็นสิ่งที่ผิด มันเป็นไปได้อย่างไร เขาไปรายงานตัวทุกครั้ง อัยการก็ไป ศาลก็ไป ศาลบอกว่ากลัวที่จะหลบหนี ทั้งที่ประวัติดีมาโดยตลอด เราไม่สามารถบอกได้เลยว่าเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมตามมาตรฐานสากล”

รังสิมันต์ยังได้กล่าวขอบคุณพี่น้องประชาชนที่เดินทางไปให้กำลังใจหน้า สน.บางขุนนนท์ ที่สำนักงานอัยการตลิ่งชัน และทางออนไลน์ และหวังว่าการดำเนินการทางกฎหมายต่อการใช้อำนาจโดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ ซึ่ง รังสิมันต์ จะพิจารณาดำเนินการ เพื่อช่วยเป็นบรรทัดฐานในการปกป้องสิทธิในกระบวนการยุติธรรมและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของพี่น้องประชาชน
ด้าน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยืนยันว่าพรรคก้าวไกล จะเดินหน้าตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ทั้งในการอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างเข้มข้น ในฐานะผู้แทนราษฎรเคียงข้างประชาชน
“สิ่งนี้คือความต้องการที่จะปิดปากฝ่ายนิติบัญญัติ รัฐบาลต้องการทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติกลัว ไม่ให้กลไกประชาธิปไตยทำงาน การมีฝ่ายบริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติ ตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาลเป็นเรื่องจำเป็น อย่าให้เราต้องพูดเพียงในสิ่งที่เขาอนุญาตให้พูด แต่เราต้องพูดความจริงในสิ่งที่มันมีปัญหา ที่มันกระทบความเดือดร้อนของประชาชน อย่าเอาระบบทั้งระบบมาเพื่อที่จะทำลาย และกลั่นแกล้งทางการเมือง”
พิธากล่าว

