พรรคก้าวไกลส่งตัวแทนร่วมงานไว้อาลัยวีรชนพฤษภาประชาธรรมที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง พร้อมเสวนาถอดบทเรียน โดย “แมน ปกรณ์” ชี้ว่าการเลือกตั้งรอบหน้าคือโอกาสเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ เชื่อประชาชนไม่ยอม ส.ว. โหวตเลือกนายกฯ อีกต่อไป ด้าน “เท้ง ณัฐพงษ์” ระบุ การยุติรัฐรวมศูนย์ได้จะทำให้โอกาสรัฐประหารสำเร็จยากขึ้น
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บางแค พรรคก้าวไกล และ ปกรณ์ อารีกุล หัวหน้าคณะทำงานโฆษกพรรคก้าวไกล และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคก้าวไกล ร่วมกิจกรรมรำลึกวีรชนเหตุการณ์พฤษภาประชาธรรมปี 2535 ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง พร้อมร่วมวงเสวนา “รัฐธรรมนูญต้องมาจากประชาชน” เน้นย้ำความสำคัญของเจตนารมณ์การต่อสู้พฤษภาประชาธรรม
ปกรณ์ ระบุว่าในความรับรู้ของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก เหตุการณ์พฤษภาประชาธรรม เป็นภาพจำแรกๆ ที่ทำให้เห็นคำว่าทหารฆ่าประชาชน นำไปสู่การโตมากับคำถามว่าโครงสร้างแบบไหนที่อนุญาตให้ทหารฆ่าประชาชนหรือทำรัฐประหารได้ ต่อมาได้คำตอบที่ชัดเจนมากขึ้น ได้เห็นภาพในยุคสมัยของตัวเอง นั่นคือกลไกโครงสร้างอย่างที่รัฐธรรมนูญ 2560 ออกแบบมา
การที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ทำให้คำสั่งหัวหน้า คสช. มีผลผูกพันกับอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ตลอดไป รวมทั้งการที่การที่ ส.ว. มีอำนาจโหวตเลือกนายก ในมาตรา 272 เป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่ทั้งสามอำนาจต้องตรวจสอบกันอย่างที่สุด และวันนี้สภาพการณ์ทางการเมืองได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า นี่เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไข
ปกรณ์ กล่าวต่อว่าการเลือกตั้งรอบหน้า คือโอกาสสำคัญที่เราจะเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญอย่างสันติได้ แม้จะต้องใช้เสียง ส.ว. ถึงหนึ่งในสาม แต่ก็เป็นที่ชัดเจนว่าประชาชนจะไม่ยอมให้ ส.ว. มาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่ไม่สะท้อนเจตจำนงของประชาชนอีกต่อไปแล้ว ซี่งเราเองก็จะต้องรณรงค์ให้ ส.ว. ต้องงดออกเสียงในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งหน้า หรือต้องโหวตในทิศที่ไม่ผิดไปจากความต้องการและเจตนารมณ์ที่ประชาชนสะท้อนมา
“ถ้ารอบหน้า ส.ว. ยังโหวตเลือกนายกฯ ที่ไม่ได้มาจากพรรคการเมืองลำดับหนึ่งอีก ผมเชื่อว่าประชาชนจะไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว เหตุการณ์การต่อสู้ของประชาชนอย่างเช่นเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ก็อาจจะเกิดขึ้นอีก ซึ่งชนชั้นนำทั้งหมดจะต้องตระหนักให้ดีว่าไม่ควรที่จะต้องมีการสูญเสียเช่นนั้นเกิดขึ้นอีกแล้ว”
ปกรณ์ ระบุ
ด้าน ณัฐพงษ์ มองว่าการยุติวงจรรัฐประหาร คือทำให้การยึดอำนาจทำได้ยากที่สุด ที่ผ่านมา ณัฐพงษ์ เคยสงสัยมาตลอดว่าประเทศไทยกว้างใหญ่ แต่เหตุใดการยึดอำนาจที่กรุงเทพฯ โดยใช้ทหารไม่กี่กองกลับสามารถทำให้ทุกแห่งในประเทศไทยต้องยอมรับได้ คำตอบก็คือ ระบบราชการส่วนใหญ่ถูกรวมศูนย์อยู่ที่ส่วนกลาง การยึดอำนาจสำเร็จ มาจากการที่องค์กรของรัฐในระบอบเก่ายอมรับการรัฐประหาร ไม่สามารถต่อต้านการรัฐประหารได้
ดังนั้น วิธีการหนึ่งที่จะคานอำนาจรัฐประหารได้ คือการทำให้ข้าราชการการเมืองแข็งแรง ยุติรัฐรวมศูนย์ ให้ข้าราชการส่วนใหญ่ต้องขึ้นอยู่กับท้องถิ่น องคาพยพของระบบราชการส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับนายกจังหวัดที่มาจากการเลือกตั้ง โดยที่ส่วนกลางไม่สามารถเข้าไปปลดหรือโยกย้ายได้ หากท้องถิ่นร่วมกันไม่ยอมรับการรัฐประหาร นายกรัฐมนตรีที่มาจากการรัฐประหารก็ไม่สามารถปกครองประเทศได้
“หน้าที่ของเราคือการยุติรัฐรวมศูนย์ ทำให้ท้องถิ่นแข็งแรงมีงบประมาณ มีอำนาจ และบุคลากรของตนเอง ซึ่งนี่ไม่ใช่การแบ่งแยกประเทศ แต่เป็นเรื่องปกติในรัฐเดี่ยวด้วยซ้ำ การยุติวงจรอุบาทว์ได้ ต้องยุติรัฐรวมศูนย์ ซึ่งจะเป็นการระเบิดศักยภาพของประเทศ และทำให้ระบอบประชาธิปไตยแข็งแรงด้วย”
ณัฐพงษ์ กล่าว