
เป็นระยะเวลา 8 ปีแล้ว ที่รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมีที่มาจากการรัฐประหาร และสืบทอดอำนาจโดยการเขียนรัฐธรรมนูญเอื้อให้ตัวเองได้อยู่ต่อ ทำการปกครองประเทศมาจนถึงปัจจุบันนี้
เป็น 8 ปี ที่อาจกล่าวได้ว่า ทำให้ประชาชนคนไทย “มืด 8 ด้าน” ไม่มีความหวัง ไม่มีความฝัน และไม่มีอนาคต
ยิ่งล่าสุดที่นายกรัฐมนตรี แถลงออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่าจะเดินหน้าประเทศต่อ ด้วย “กลยุทธ์ 3 แกนสร้างอนาคต” เพื่อแก้ปัญหาความยากจนให้หมดไป และระบุด้วยว่าจะทำสำเร็จได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า กลายเป็นสิ่งที่ทำให้หลายๆ คนหวาดหวั่น ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะ “อยู่ต่อ” และนอกจากนี้ ที่แถลงออกมานั้นจะเป็นเพียงแค่การขายฝันเพื่อพยายามรักษาอำนาจของตัวเองให้นานที่สุด
เพราะประชาชนดูออกว่า “3 แกน” ที่นายกรัฐมนตรีพูดถึง จริงๆ แล้วเป็นเพียงแค่ “3 กลวง” เพราะปลอมและมีแต่เปลือก คือภาพลวงตา คือมายาคติ ดังที่จะชี้ให้เห็นปัญหาของ “กลยุทธ์ 3 แกนสร้างอนาคต” ต่อไปนี้
3 แกน 3 กลวง ปลอมและเปลือก
ช้า เจ๊ง และชวนงุนงงเป็นไก่ตาแตก
แกนที่ 1
เรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างอนาคตด้วยแกนนี้ที่บอกว่า “ใกล้เสร็จ” เมื่อไปดูความเป็นจริง ก็ได้พบว่าโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่จะเป็นความหวังของประเทศนั้น ไม่มีความคืบหน้าเท่าใดนัก ที่ว่า “ใกล้เสร็จ” ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพียงสคริปต์หลอกนายกรัฐมนตรีให้รู้สึกดี
โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสนามบิน ประมูลมา 3 ปีแล้ว คืบหน้า 0% ยังไม่ได้สร้างอะไรเลยเพราะเวนคืนที่ดินไม่ได้ และก็ยังต้องแก้ไขสัญญาอีก, โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา ผ่านมา 5 ปีแล้ว ความคืบหน้าเพียง 4.6% หรือแม้แต่ โครงการท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ท่าเรือ F สร้างมา 1 ปีจากกำหนดการว่า 4 ปีจะแล้วเสร็จ แต่ความคืบหน้าขณะนี้ คิดเป็นเพียงแค่ 5% เท่านั้น
ดังนั้น ในอนาคต สิ่งที่น่ากังวลก็คือ นักลงทุนจะมองว่ารัฐบาล “ปั้นตัวเลข” หลอกให้มาลงทุนหรือไม่? และอาจจะฟ้องเอาค่าโง่กับรัฐบาลหรือเปล่า?
โครงสร้างพื้นฐานที่นายกรัฐมนตรีบอกว่า 2 ปีจะผลิดอกออกผล ห่วงก็แต่ว่าจะกลายเป็นเหมือน “ตอม่อโฮปเวล” หรือ “เสาโง่ๆ” ผุดขึ้นทั่วประเทศ ประจานความล้มเหลว
และที่เคยบอกว่าสร้างเสร็จแล้วจะเหมือนต่อ “จิ๊กซอว์” ภาพใหญ่ประเทศ สุดท้ายแล้วอาจไม่ใช่ แต่จะเป็น “โจ๊ก” ที่เละเทะเหมือนอย่างที่ สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้อภิปรายในประเด็น MR-Map ว่าซ้ำซ้อนกันมาก ระยะ 6,900 กิโลเมตรซ้ำซ้อนกันไป 4,400 กิโลเมตร “รถไฟรางคู่” “รถไฟความเร็วสูง” “มอเตอร์เวย์” คู่ขนานทางเดียวกันมาแย่งผู้โดยสารกันเอง ไม่ได้คิดอย่างมียุทธศาสตร์ ที่สุดท้ายก็จะเจ๊งหมด
ทั้งในเรื่อง ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน หรือ OPEX ที่รัฐบาลต้องเข้ามาอุ้มค่าบริหารจัดการและซ่อมบำรุงของโครงการที่ไม่มีรายได้ไปชั่วลูกชั่วหลาน
ทั้งในเรื่อง CAPEX หรือ การประมาณค่าใช้จ่ายในการลงทุน ที่รัฐบาลคิดว่าจะใช้เงิน 5.7 ล้านล้านบาท ซึ่งบานปลายแน่นอน แค่ค่าเวนคืนที่ดินก็บานปลายแล้ว เพราะพอรัฐบาลประกาศจะสร้าง ราคาที่ดินก็ขึ้นเยอะกว่าที่ตั้งเป้าไว้ ทำให้การเวนคืนล่าช้าอยู่ในขณะนี้
ต่อไปไม่ใช่แค่ค่า CAPEX เพราะถ้ายิ่งล่าช้าค่าก่อสร้างก็จะยิ่งบานปลาย 5 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่มี EEC ราคาปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้นมา 10% ราคาเหล็กเพิ่มขึ้นมา 50% ดังนั้น ยิ่งล่าช้า อาจจะไม่ได้ใช้เงินแค่ 5.7 ล้านล้าน แต่อาจจะกลาย 6 ล้านล้านหรือมากกว่านั้นก็ได้
นี่จึงเป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานปลอมๆ สร้างถนนที่คนไม่ใช้ สร้างรถไฟความเร็วสูงที่คนไม่ขึ้น เพียงแค่สร้างให้แค่ดูดีว่าเรามี ซึ่งภาษาเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “Potemkin Economy” เหมือนกับในสมัย 300 ปีก่อน ที่มีคนรัสเซียชื่อ Potemkin ไปสร้างเมืองปลอมๆ หลอกจักรพรรดินีว่าบ้านเมืองสวยงาม เศรษฐกิจดี
หรือถ้าเทียบกับสมัยใหม่ก็เหมือนโรงแรม “ริว-กยอง” ที่เกาหลีเหนือ อาคารรูปลักษณ์เหมือนพีรามิดสูง 100 ชั้น ใจกลางเมือง แต่ว่าเป็นแค่คอนกรีตเปล่าๆ เป็นเพียงเปลือก ซึ่งถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ทำรถไฟความเร็วสูงต่อไปก็คงเป็นแบบนั้น มีแต่รถไฟเปล่าๆ ไม่มีคนขึ้น เจ๊งกันหมด กลายเป็นอนุสาวรีย์แห่งความพังพินาศไปทั่วประเทศ

แกนที่ 2 คือ เรื่องยุทธศาสตร์รถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV (Electric Vehicle) นำประเทศไทย สามารถสรุปได้คำเดียวว่า “มั่ว”
พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่าจะเดินหน้าให้เร็วกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค แต่เมื่อไปดูข้อเท็จจริงแล้วกลับพบว่า เราแทบจะช้าที่สุดในโลก เพราะจีนเริ่มมา 10 ปีแล้ว อินโดนีเซียเริ่มไล่เลี่ยกับเรา แต่เขามีแร่ Nickel ที่ใช้ทำแบตเตอรี่ ทำให้เขาสามารถที่จะไปเชื่อมกับโลกได้ ที่สำคัญคือผู้นำของเขาก็มีวิสัยทัศน์ มีความรวดเร็ว เดินทางไปดึง อีลอน มัสก์ มาลงทุนด้วยตัวเอง
แม้แต่ในทวีปแอฟริกา ประเทศอูกานดาก็ผลิต EV แบรนด์ Kiira ของตัวเองตั้งแต่ปีที่แล้ว หรือเคนยาก็ผลิต EV Bus ยี่ห้อ ROAM ของตัวเองไปแล้ว

ขยับมาที่ใกล้ๆ บ้านเรา เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีข่าวว่า บริษัท Vinfast ของเวียดนามเพิ่งได้เงินกู้จาก Credit Suisse กับ Citi Group 1.5 แสนล้านบาท ไปขยายการลงทุนในอเมริกา และอีกข่าวก็คือ Vinfast กำลังจะเปิด 6 โชว์รูมในรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยสิ้นปีนี้ตั้งเป้าว่าจะเปิดได้มากถึง 30 โชว์รูม
ขณะที่ในประเทศไทย ข่าวเกี่ยวกับ EV คือ รถ NETA ของ ปตท. ต้องเลื่อนเปิดตัว 1 เดือนเพราะมีปัญหา Supply Chain
นายกรัฐมนตรีเอาอะไรมามั่นใจว่าจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลาง EV ได้ เราไม่มีอะไรจะไปเชื่อมกับ Supply Chain ได้เลย ไม่เหมือนจีนกับออสเตรเลียที่มี Lithium อินโดนีเซียที่มี Nickel และที่สำคัญก็คือ ประเทศไทยมี FTA (Free Trade Area หรือเขตการค้าเสรี) กับจีนและอินโดนีเซีย ดังนั้น คนซื้อรถก็แค่ซื้อรถจีน หรือญี่ปุ่นก็แค่ย้ายฐานการผลิตไปอินโดนีเซียแล้วส่งรถกลับมาโดยไม่ต้องผลิตในเมืองไทยก็ได้
ห่วงโซ่การผลิตกำลังจะเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ร้อยละ 32 ของมูลค่าเพิ่มยานยนต์ไทยที่มาจาก เครื่องยนต์ ท่อไอเสีย เกียร์ ระบบส่งน้ำมัน จะหายไป คนงาน 7-8 แสนตำแหน่งเสี่ยงตกงาน และวันหนึ่งประเทศไทยจะกลายเป็นสุสานของเครื่องยนต์สันดาป เพราะรัฐบาลเพิ่งมา “วัวหายล้อมคอก” เริ่มต้นเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV
แกนที่ 3 คือ การทำให้ประชาชนเข้าถึงการเงินการธนาคาร ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ พูดซ้ำๆ เป็นแผ่นเสียงตกร่อง ตั้งแต่การแถลงนโยบายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปี 2557 ต่อมาในปี 2560 ก็พูดอีกในรายการ “ศาสตร์พระราชา” ออกอากาศผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ และในปี 2562 ก็พูดอีกตอนแถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งใจจะทำให้คนไทย 30 ล้านคนเข้าถึงการเงินจริง ก็คงทำได้ไปแล้วตั้งแต่ตอนที่มีอำนาจเต็ม
SMEs ไทยเข้าไม่ถึงการเงิน ซึ่งพิสูจน์กันชัดๆ ด้วยตัวเลขของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธุรกิจใหญ่เข้าถึงสินเชื่อในปีที่ผ่านมาโตขึ้น 10 กว่า % แต่สำหรับธุรกิจเล็กตัวเลขนี้ติดลบลงด้วยซ้ำหากไม่มีสถานการณ์โควิด
ซึ่งในแกนที่ 3 นี้ ก็ได้มีผู้บริหารวาณิชธนกิจอันดับหนึ่งของประเทศวิจารณ์ไว้ทำนองว่า “อนิจจา…หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ… ท่านไม่ได้รู้เรื่อง ไม่ได้เข้าใจเรื่องที่ท่านพูดเลย…พอฟังคลิปแล้วงงเป็นไก่ตาแตก โดยเฉพาะข้อสาม เป็นนายธนาคาร อยากร่วมมือแทบแย่ แต่จะเริ่มไงวะ ทำตัวไม่ถูก”
บทสรุปความปลอมเปลือกของ 3 แกนของนายกรัฐมนตรี คือ
1.โครงสร้างพื้นฐานที่ “ช้า” และ “เจ๊ง” จะเป็นอนุสาวรีย์แห่งความพังพินาศไปทั่วประเทศ
2.ยุทธศาสตร์ EV ที่ช้าที่สุดในโลก และ
3.แผนการเงินที่นายธนาคารบอกว่า “งงเป็นไก่ตาแตก”
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ไว้วางใจไม่ได้มากที่สุดคือ นายกรัฐมนตรีไม่รู้จักประชาชน ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำให้ประชาชนนอนไม่หลับคือไม่มีความหวัง ท่านต้องเข้าใจว่าตอนนี้เงินเฟ้อทั้งปีจะสูงที่สุดในรอบ 24 ปี เงินบาทอ่อนที่สุดในรอบ 16 ปี หนี้สาธารณะสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ปุ๋ยแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ ราคาอาหารสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ในเวลาแบบนี้ประชาชนต้องการให้นายกเป็นผู้นำที่จะสร้างความหวังกลับมาให้ประเทศ ไม่ใช่ให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) คิดแผน แล้วก็ไปตั้งคณะกรรมการ ตั้งคณะอนุกรรมการ และอนุกรรมการก็ไปตั้งที่ปรึกษา ไม่ได้มีแก่นสาร ไม่ได้มีสาระอะไรที่จะทำให้ประเทศไทยออกจากวิกฤติได้เลย
3 แกนที่แท้จริงของ “รัฐบาล” คือ 3 ทำลายอนาคตประเทศ
ถามว่า ถ้าสิ่งที่นายกรัฐมนตรีแถลงคือกลวง ปลอมและเปลือก แล้ว “3 แกน” ที่แท้จริงของรัฐบาลนี้คืออะไร?
จากข้อมูลหลักฐาน และการกระทำต่างๆ ที่ประชาชนเห็นเป็นประจักษ์อยู่ทุกวี่ทุกวัน สรุปโฉมหน้า “3 แกน” ที่แท้จริงของรัฐบาลคือ 1.ทำลายศักยภาพในประเทศ 2.ทำลายศักยภาพในต่างประเทศ และ 3.ทำลายศักยภาพของประชาชนไทย
แกนที่ 1 ทำลายศักยภาพในประเทศ
8 ปีที่ผ่านมา ศักยภาพในประเทศแทบไม่มีเหลือ หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น 4 ล้านล้านบาท หนี้สาธารณะก็เพิ่มขึ้น 4 ล้านล้านบาท และยังมีหนี้นโยบายที่ซุกไว้อีก 1 ล้านล้านบาท

หนี้กองทุนน้ำมันก็อาจกล่าวได้ว่าซุกไว้เช่นกันอีก 1 แสนล้านบาท เพราะไม่ได้นับเป็นหนี้สาธารณะ และเป็นหนี้กองทุนน้ำมันทางตันแบบตายสนิท ตามกฎหมายหนี้สาธารณะมาตรา 19 รัฐบาลเอางบประมาณมาช่วยไม่ได้ ค้ำประกันหนี้ไม่ได้
เงินไหลออกเดือนละ 20,000 ล้าน โดยไม่มีรายได้ ไม่มีทางจ่ายหนี้ที่เป็น Promissory Note ได้เลย หนี้แบบนี้ถ้าไม่เรียก NPL ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร? ทำได้อย่างมากก็คง “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” เมื่อไหร่กู้เงินไม่ได้จริงๆ ใช้งบประมาณก็ไม่ได้ รัฐบาลก็คงปล่อยราคาน้ำมัน ราคาก๊าซลอยตัวไปตามยถากรรม

เรื่องค่าไฟฟ้าก็เป็นอีกเรื่องใหญ่ จริงอยู่ว่าช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) แบกรับค่าไฟให้ประชาชนไปกว่าแสนล้านบาท จะอุ้มไปยาวๆ ก็อาจจะเจ๊งแบบกองทุนน้ำมัน แบบกองทุนประกันภัย แต่ในอีกทางหนึ่งนั้น กำไรสะสมของ กฟผ. 2-3 แสนล้านบาท ยังช่วยประชาชนไหวอยู่ แต่เรื่องนี้ต้องแก้ที่โครงสร้างค่าไฟของประเทศในภาพรวมที่กำลังไฟฟ้าสำรองล้นประเทศ
ดังที่ วรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้อภิปรายไปแล้วว่า โครงสร้างอุตสาหกรรมพลังงานของไทยเมื่อฮั้วกันให้นายทุนสร้างโรงไฟฟ้ามากๆ แต่ไม่ต้องเดินเครื่องก็ได้เงิน ตอนนี้โรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่แบบ IPP 12 โรงเดินเครื่องเต็มที่แค่ 6 โรง แต่โรงที่อยู่เฉยๆ ก็ได้ “ค่าความพร้อมจ่าย” จากรัฐบาลที่คำนวณต้นทุนบวกดอกเบี้ยบวกกำไรให้นักลงทุนเสร็จสรรพโดยที่อยู่เฉยๆ ทำให้ค่าไฟแพงขึ้น 0.24 สตางค์ต่อหน่วย นี่คือเสือนอนกิน
ยังมีพวกปรสิตที่เกาะกินทำลายศักยภาพของประเทศอีกมาก เช่น การโกงกินของรัฐบาลนี้ที่เรียกกันว่า “โกงอย่างจงรัก หักหัวคิวอย่างภักดี” หรือที่ อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ อภิปรายว่า “จงรักภักดีจนน้ำลายไหล” ที่โกงกันแม้กระทั่งอนุสาวรีย์ในหลวงรัชกาลที่ 9
หรือคดี GT200 มหากาพย์ “ไม้ล้างป่าช้า” ที่ จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ส.ส.จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้อภิปรายนั้น ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าไม่มีโกง เพราะคดีอาญาจบแล้ว มีคนเข้าคุกแล้ว คดีแพ่งจบแล้ว บริษัทต้องชดใช้เงิน ยังเหลือคดีทุจริตที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ไม่ยอมส่งฟ้อง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งอัยการสูงสุดได้ตอบหนังสือมาแล้วว่าการไม่ฟ้องนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ยังมีเรื่อง “นาฬิกาเพื่อน” ที่ ธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ออกมาตามหาความจริงว่านาฬิกาเหล่านั้นแท้จริงเป็นของใครกันแน่ ยังมีเรื่องของ “ทุจริตในกองบินตำรวจ” ที่ รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ ออกมาตามหาตัวผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายของรัฐ ซึ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ทำลายศักยภาพของประเทศ
แกนที่ 2 ทำลายศักยภาพของไทยในต่างประเทศ
รัฐบาลที่จะพาประเทศฝ่าฟันมรสุมคลื่นลมของโลกหลังโควิด และวิกฤติภูมิรัฐศาสตร์ครั้งใหญ่สุดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แบบนี้ได้ ต้องเป็นรัฐบาลที่ทันโลก เจนจัดสนามการเมืองโลก มีลูกล่อลูกชน สามารถวางตัวเป็นกลางบนพื้นฐานของหลักการ เพื่อที่จะรักษาสมดุลระหว่างประเทศ
แต่สิ่งที่รัฐบาลไทยทำอยู่ในขณะนี้ ไม่เป็นกลาง ไม่ใช่การรักษาสมดุล ไม่มีจุดยืน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคืออะไร
ในการไปร่วมประชุมผู้นำความมั่นคงโลก Shangri-la Dialogue ที่สิงคโปร์ ได้พบปะกับรัฐมนตรีต่างประเทศและผู้นำโลกหลายคน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ผู้นำไทยหายไปไหนหมด? เพราะรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา เวียดนาม ก็ยังขึ้นไปพูดบนเวทีนี้ได้อย่างน่าสนใจ แต่ประเทศไทยผู้พูดกลับเป็น ผู้แทนพิเศษไทยเรื่องเมียนมา ซึ่งเข้าข้างทหารเมียนมาจนโดนด่าเละกลับมา เสียที่ยืนหนักไปกว่าเดิมอีก
ที่ยืนในเวทีโลกเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพื่อที่จะให้ประเทศไทยเดินต่อไปข้างหน้าได้ เพราะไม่ว่าจะในเรื่องวัคซีนโควิดที่ทั้งโลกต้องช่วงชิงกันในปีที่แล้ว เรื่องการเกษตรที่ทั้งปุ๋ยทั้งปัจจัยการผลิตแพงและขาดแคลนอยู่แบบนี้ หรือแม้แต่เรื่องการทำยุทธศาสตร์ EV ให้ไทยเป็นผู้นำในเวทีโลกตามแผนของนายกรัฐมนตรี ก็เป็นเรื่องที่ต้องดึงนักลงทุนมาจากต่างชาติ ต้องเจรจาการค้าระหว่างประเทศแทบทั้งสิ้น
ผู้นำประเทศที่สร้างจุดยืนในเวทีโลกได้โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งตอนนี้ ขอยกตัวอย่าง คือ โจโค วิโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ที่บินไปหา อีลอน มัสก์ นักธุรกิจชื่อดังของโลก เพื่อดึงดูดการลงทุนมาอินโดด้วยตัวเอง ที่บินไปคุยกับทั้ง วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานธิบดีรัสเซีย และ โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ด้วยตัวเองเพื่อเจรจาให้ทั้งสองประเทศส่งออกข้าวสาลีกับปุ๋ยมาแก้วิกฤติอาหารโลก
ขณะนี้ ประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้อนมากที่สุด อยู่ใกล้บ้านของเรามากที่สุดคือวิกฤติเมียนมา
ไทยกับเมียนมามีชายแดนติดต่อกัน 2,400 กิโลเมตร เศรษฐกิจไทยพึ่งพาแรงงานเมียนมา 1,400,000 คน เพื่อมาทำงานที่อันตรายที่สุด สกปรกที่สุด ไปจนถึงใกล้ตัวเรามากที่สุด ไม่ว่าจะในภาคการก่อสร้าง ภาคอุตสาหกรรมหนัก ภาคการประมง ไปจนถึงพนักงานปั๊มน้ำมัน หรือแม่บ้านที่อยู่ในบ้านเรือนของเรา ซึ่งนี่ยังไม่นับว่าไทยมีเงินลงทุนอยู่ในเมียนมา 1.7 แสนล้านบาท
เพราะบ้านเราอยู่ติดกัน พึ่งพากัน ถ้าประเทศเมียนมาลุกเป็นไฟ สักวันก็จะมาไหม้บ้านเราไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะเป็น 1.7 แสนล้านที่นักลงทุนจะเอาออกมาไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลนแรงงานของ SME ในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นคลื่นผู้ย้ายถิ่นที่เข้ามาลูกแล้วลูกเล่าซึ่งถ้าบ้านเขาอยู่เย็นเป็นสุขเราก็จะได้ประโยชน์ ความสงบสุข ความเป็นหนึ่งเดียวของอาเซียนยิ่งจะทำให้เรามีจุดสมดุลระหว่างประเทศ
จีนก็อยากให้เมียนมาสงบเพื่อใช้เป็นเส้นทางโลจิสติกส์ กระจายความเสี่ยงจากช่องแคบมะละกา อเมริกาก็อยากให้เมียนมาสงบเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ อินโด-แปซิฟิก มหาอำนาจต้องการเหมือนกัน ดังนั้น เราต้องเอามาใช้เป็นน้ำหนักด้านการต่างประเทศ เอามาสร้างศักยภาพบนโต๊ะเจรจา ถ้าเราทำได้ดี นี่คือโอกาสทางการต่างประเทศของไทย ตรงกันข้าม ถ้าเราทำไม่ดี นี่คือหายนะฝังกลบการต่างประเทศของไทย
ความเพลี่ยงพล้ำของไทย ไม่ว่าจะเป็นกรณีเครื่องบินรบ MIG-29 ของเมียนมา หรือกรณี ผู้แทนพิเศษของไทยเรื่องเมียนมา ได้ทำลายศักยภาพของไทยในเวทีต่างประเทศ แทนที่จะพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส เรากลับพลิกวิกฤติให้เป็นหายนะ
ความเพลี่ยงพล้ำของรัฐบาลไทยที่ร้ายแรง ซึ่งจะทำลายศักยภาพของประเทศมากที่สุดก็คือการยินยอมให้เครื่องบินรบเมียนมา MIG-29 รุกล้ำน่านฟ้าไทยเข้ามายิงคนในประเทศตัวเอง ดังที่ ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.จังหวัดพิษณุโลก ได้อภิปราย ซึ่งเรื่องนี้เป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง โดยมีอยู่ 3 ความผิดพลาด ได้แก่

ผิดพลาดที่ 1
รัฐบาลไม่รู้หรือว่า สงครามกลางเมืองกับการปราบปรามประชาชนในเมียนมานั้น ไม่ใช่แค่เรื่องภายในของเมียนมา แต่เป็นอาชญากรรมระหว่างประเทศที่ UN สอบสวนอยู่ด้วยกลไก IIMM (Independent Investigative Mechanism for Myanmar) และคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติก็ออกรายงานเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาแล้วว่า เหตุการณ์ในเมียนมาเข้าข่ายอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ นี่คืออาชญากรรมที่อาจต้องขึ้นศาล ซึ่งถ้ารัฐบาลไม่ไร้เดียงสาเกินไปก็คงทราบดีว่าตอนนี้เมียนมาขึ้นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลกเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮิงญา ที่ ICJ ซึ่งไทยเป็นสมาชิกอยู่ด้วย และในอนาคตก็มีโอกาสที่อาชญากรรมต่อมนุษยชาติของเมียนมาในขณะนี้อาจต้องขึ้นศาลโลกด้วยเหมือนกัน

ผิดพลาดที่ 2
รัฐบาลไม่รู้หรือว่า การปล่อยให้เครื่องบินรบเมียนมาใช้อาณาเขตรัฐไทยกลับไปก่ออาชญากรรมแล้วไม่ได้ประท้วงระดับรัฐบาล แล้วไม่ได้ไปประท้วงที่ UN และยังบอกว่าเป็นเรื่องเพื่อนเดินลัดสนาม จะทำให้ประเทศไทยโดนลากไปขึ้นศาลด้วย เพราะไปผิดกฎหมายระหว่างประเทศที่เคยใช้ตัดสินคดีเอาคนเข้าคุกมาแล้ว อย่าง มาตรา 16 ของ ARSIWA (Articles on Responsibility of States for Internationally Wrongful Acts) ซึ่งเป็นข้อมติของ UN เรื่องความรับผิดชอบของประเทศหนึ่งต่อความผิดของอีกประเทศหนึ่ง ซึ่งข้อมตินี้กลายเป็นกฎหมายจากคำตัดสินคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์บอสเนีย ในปี 2007
รัฐบาลไทยปล่อยให้เครื่องบินรบบินผ่าน 15 นาที ยิงจรวดไป 4 รอบ ตามรายงานข่าวแบบนี้ชัดเจนว่าเป็นการช่วยเหลือ ตามนิยามสงครามของ UN ซึ่งลักษณะอย่างนี้ถ้าเมียนมาไม่ได้กลับไปก่ออาชญากรรมในประเทศตัวเอง แต่เกิดไปถล่มประเทศที่ 3 ก็จะกลายเป็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ พาประเทศไทยเข้าร่วมสงครามด้วยไปแล้ว

ผิดพลาดที่ 3
ความเพลี่ยงพล้ำมากที่สุดที่อาจจะทำให้ไทยต้องไปขึ้นศาลโลก ก็คือการที่ผู้บัญชาการทหารอากาศ บอกว่า กรณีเครื่องบินรบเมียนมานั้น เรา “รู้” เพราะเรา “มีระบบเรดาร์ตรวจจับและมีสายข่าวที่ดี สามารถรู้ได้ว่า เขาจะปฏิบัติการเมื่อใด ในพื้นที่ไหน” เป็นคำตอบที่ปฏิเสธการรับรู้ไม่ได้ เรารับทราบและสามารถที่จะป้องกันอาชญากรรมได้ แต่กลับไม่ได้ทำ

การปล่อยให้เครื่องบินรบประเทศอื่นใช้อาณาเขตประเทศเราไปก่ออาชญากรรมโดยเรารู้ และยอมรับว่า “รู้” ว่าอะไรเกิดขึ้น เหมือนให้เพื่อนบ้านเดินลัดสนามกลับไปยิงคนในบ้านตัวเองโดยที่เราไปพูดออกสื่อว่า รู้ว่าเขาจะกลับไปยิงคนในบ้านตัวเอง ครบองค์ประกอบความผิดที่ต้องรับผิดร่วมในกฎหมายระหว่างประเทศที่เคยใช้ในศาลโลกมาแล้ว ซึ่งกรณีนี้ถ้ารัฐบาลมีความเป็นสากล รู้เรื่องกติการะหว่างประเทศบ้าง ก็คงไม่พลาด โดยอย่างน้อยที่สุข ขั้นต่ำของกรณีที่เกิดขึ้นก็คงต้องมีการประท้วงระดับรัฐบาล มีการประท้วงที่ UN ด้วย
นี่เป็นความผิดพลาดที่จะทำลายจุดยืนในเวทีโลกและศักยภาพของประเทศไทยในต่างประเทศอย่างป่นปี้ ถ้าอีก 10-20 ปีข้างหน้า ประเทศไทยต้องไปชี้แจงในศาลโลกว่าเราไม่ได้เป็น “ตัวการร่วม” กับทหารเมียนมา ถึงวันนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จะรับผิดชอบไปขึ้นศาลแทนรัฐบาลไทยในอนาคตหรือไม่? หรือจะทำเหมือนคดีเหมืองทองอัคราที่บอกว่าจะรับผิดชอบเอง สุดท้ายก็เงียบหาย?
ในความเป็นจริงแล้ว ภาพลักษณ์อาชญากรของประเทศไทยไม่ต้องรออีก 10-20 ปีในศาลโลก เพราะแค่ในปัจุบันก็เลวร้ายมากแล้ว เพราะผู้แทนพิเศษไทยในเรื่องเมียนมาที่รัฐบาลแต่งตั้ง ก็เคยเป็นอาชญากรดัง เคยโดนคุมขังมีอุปกรณ์ติดตาม 6 เดือนที่สหรัฐอเมริกา ตอนแรกจะโดนขู่ฟ้องคดีฟ้องเงินด้วย เลยรับสารภาพคดีบริจาคเงินผิดกฎหมาย
ในสายตาต่างชาติไม่ได้มองแค่ว่าผู้แทนพิเศษของไทยเป็นแค่อาชญากรธรรมดา แต่มองเป็นภัยต่อความมั่นคงด้วย เหมือนกับที่ ส.ส.ปดิพัทธ์ ฉายขึ้นสไลด์ไปแล้วว่า มีรายงานกรรมาธิการของคองเกรสเรื่องอิทธิพลจีนต่อภัยความมั่นคง พูดถึงผู้แทนพิเศษไทย บอกว่าในปี 1996 บริจาคเงินผิดกฎหมายหรือว่า “ติดสินบน” เพื่อเอาเจ้าสัวของไทยเข้าไปถึงตัวประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คุยกัน 90 นาที ซึ่งไม่ใช่เพื่อล็อบบี้ผลประโยชน์การค้าให้ประเทศไทยด้วย แต่เป็นเพื่อผลประโยชน์การค้าให้กับจีน
นี่คือสาเหตุที่ในปีต่อมา เมื่อประธานาธิบดีสหรัฐจะแต่งตั้งผู้อำนวยการ (ผอ.) CIA ซึ่งก็ต้องไปชี้แจงต่อวุฒิสภาคองเกรส ผู้ซึ่งเป็นแคนดิเดตตำแหน่ง ผอ. CIA ชี้แจงไม่ได้ว่า ทำไมคนในทีมงานถึงมีความสัมพันธ์โดยเคยคุยกับผู้แทนพิเศษไทย และนี่เป็นเหตุผลที่สุดท้ายแล้วแคนดิเดตคนนี้ก็ไม่ได้ตำแหน่ง
คนจะเป็น ผอ. CIA มีทีมงานเคยคุยกับผู้แทนพิเศษไทย สภาคองเกรสไม่อนุมัติ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ กับคณะรัฐมนตรียอมให้คนคนนี้เป็นผู้แทนพิเศษไทยเรื่องเมียนมา ซึ่งมีอำนาจเท่ารัฐมนตรี
ประเทศของเราเอาผู้แทนพิเศษอดีตอาชญากรไปพูดเข้าข้างอาชญากรต่อมนุษยชาติในเวทีประชุมผู้นำความมั่นคงโลก มีเสียงก่นด่ากันทั้งโลก และในอนาคตเราก็อาจไปพัวพันกับอาชญากรรมอีกเพราะความไร้เดียงสา ความเพลี่ยงพล้ำเรื่องการต่างประเทศ นี่เป็นเรื่องที่สำคัญ เกี่ยวพันกับการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ ค่าครองชีพ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน ค่าปุ๋ย เงินลงทุน 1.7 แสนล้านบาทของไทยที่ติดอยู่ในเมียนมา ไม่ใช่เรื่องที่รัฐไทยจะให้ “คนมีมลทิน” เอาไปละเลงเล่นๆ ได้
แกนที่ 3 รัฐบาลทำลายศักยภาพของประชาชน
ประชาชนจะมีศักยภาพได้ก็ต้องมีเสรีภาพ แต่จากการอภิปรายของ เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เรื่องการปราบปรามผู้เห็นต่าง การอภิปรายของ พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เรื่องการที่รัฐบาลไล่ hack ประชาชน ยิงปรสิตติดโทรศัพท์ประชาชน เหล่านี้คือการทำลายเสรีภาพ ซึ่งก็คือทำลายศักยภาพของประชาชน
การปราบปรามประชาชนคนเห็นต่างถ้าดูเผินๆ แล้วคงอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมทหารไทยเก่งแต่กับนักศึกษา เด็กมัธยม เก่งแต่กับ Lazada ส่วนต่างชาติรุกล้ำดินแดนด้วยอาวุธสงครามนั้นกลับคือเพื่อนกัน แต่ถ้าดูให้ลึกกว่านั้น นี่คือการทำลายนิติรัฐ ซึ่งก็คือการทำลายเสรีภาพของคนไทยทุกๆ คน 70 ล้านคนด้วย
การที่ วัฒน์ วรรลยางกูร นักเขียนเจ้าของผลงาน “มนต์รักทรานซิสเตอร์” ที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเพิ่งฉายหนังกลางแปลงไป ต้องไปเสียชีวิตในฐานะผู้ลี้ภัยคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ต่างประเทศนั้น ทำให้เสรีภาพของตัวเราทุกคนลดลงไปด้วย, การที่ ตะวัน ผักบุ้ง ใบปอ ถูกต้องขังในเรือนจำและอดอาหารประท้วงเพราะคดี 112 นั้นทำให้เสรีภาพเราทุกคนลดลงไปด้วย, การที่ นารา-Lazada-กับบริษัทเอเจนซี่ โดนฟ้องคดี 112 เพราะโฆษณานั้น ก็ละเมิดเสรีภาพของเราทุกคนด้วยเหมือนกัน
เพราะวันหนึ่งอาจไม่ใช่วัฒน์ วรรลยางกูร อาจจะไม่ใช่ตะวัน ผักบุ้ง ใบปอ อาจจะไม่ใช่ Lazada หรือนารา แต่อาจจะเป็นลูกของเพื่อนเรา อาจจะเป็นเพื่อนของเรา อาจเป็นลูกชายลูกสาวของเรา และถ้าลูกของเราโดนรัฐบาลจับเข้าคุก ถูกดำเนินคดีเพียงเพราะมีอุดมการณ์อะไรบางอย่างไม่เหมือนเขา คนเป็นพ่อแม่อย่างเราจะรู้สึกอย่าง?
แล้วถ้าวันหนึ่งถ้าไม่ใช่ลูกของเราที่โดน แต่เป็นตัวเราเอง? เราจะรู้สึกอย่างไร?
ที่ผ่านมาเคยอภิปรายไปแล้วว่า รัฐบาลต้องมีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะยอมรับ “ความจริงอันน่ากระอักกระอ่วน” และ “ความรู้สึกแห่งยุคสมัย” ที่เปลี่ยนแปลงไป เคยอภิปรายว่าให้รัฐบาล “เลิกกอดอดีตในขณะที่เยาวชนเรียกร้องหาอนาคต” เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ ไม่ใช่ฉุดรั้งประเทศอยู่แบบนี้แล้วใช้กลไกรัฐมาสุมไฟความเกลียดชัง ปลุกระดมให้เพื่อนร่วมชาติทำร้ายกัน และเคยอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ ว่า “นายกที่ดีต้องเป็นเกราะกำบังให้กับพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่ดึงพระมหากษัตริย์มาเป็นเกราะกำบังตัวเองในทางการเมือง” โดยใช้คดี 112 มาปราบปรามแบบนี้
เตือนครั้งแรกแล้วว่า “ยุคสมัยเปลี่ยนไป ต้องหาฉันทามติใหม่” พล.อ.ประยุทธ์ไม่ฟัง
เตือนครั้งที่สองว่า “อย่าใช้กลไกรัฐสุมไฟสร้างความเกลียดชัง” พล.อ.ประยุทธ์ไม่ฟัง
เตือนครั้งที่สามว่า “ใช้กฎหมายปราบปรามประชาชน แอบอ้างสถาบันเช่นนี้ทำให้สถาบันเสียหาย” พล.อ.ประยุทธ์ไม่ฟัง
จึงไม่สามารถที่จะเชื่อใจ ไว้วางใจรัฐบาลได้เลยว่ามีความตั้งใจที่จะรักษาระบบนิติรัฐของประเทศและมีความจงรักภักดี
และนี่คือบทสรุปโฉมหน้าที่แท้จริงของแกนที่ 3 ของรัฐบาล ว่าเป็นรัฐบาลที่ทำลายนิติรัฐ ทำลายกติกาของการอยู่ร่วมกันของสังคมไทย โดยทั้งหมดนี้ทำไปเพื่อรักษาอำนาจทางการเมืองของตัวเอง แอบอ้างสถาบันมาเป็นเกราะกำบังตัวเอง ปราบปรามประชาชนโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
“โรคระบาดของความสิ้นหวัง” ทำคนตายมากกว่าโควิด-19
3 แกนที่แท้จริงของรัฐบาล ทั้งการทำลายศักยภาพของประเทศ ทำลายศักยภาพของประเทศไทยในต่างประเทศ และทำลายประชาชน ทำลายนิติรัฐกฎเกณฑ์ของการอยู่ร่วมกันของคนในประเทศ ทั้งหมดนี้คือบทสรุปจากความมืดแปดด้านที่คนไทยต้องเผชิญ ความมืดเหล่านี้ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่รู้สึกว่ามีความหวัง ความฝันอะไรได้ เหมือนเป็นประเทศที่คนใช้ชีวิตทำงานใช้หนี้ไปวันๆ

ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกพบว่า การฆ่าตัวตายของคนหนุ่มสาวของไทยสูงที่สุดในอาเซียน โดยสูงกว่าสิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย กว่าเท่าตัว และสูงกว่าฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ถึง 5 เท่าตัว
ความสิ้นหวังของประชาชน ของคนรุ่นใหม่ ไม่สามารถที่จะวัดกันด้วยตัวเลขมหภาคแบบเดิมๆ ได้อีกต่อไป นี่เป็นสาเหตุให้ในปี 2563 ได้มีนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลจากมหาวิทยาลัย Princeton คิดดัชนีใหม่ขึ้นมาคือดัชนี “Death of Despair” หรือ ความตายจากการสิ้นหวัง
วิธีการคำนวณไม่ได้ดูแค่การฆ่าตัวตาย แต่รวมจำนวนคนที่ตายจากการเสพยาเกินขนาด และตายจากพิษสุราเรื้อรังเข้าไปด้วย หรืออธิบายให้เข้าใจง่ายคือรวมคนที่ฆ่าตัวตาย เสพยาจนตาย กินเหล้าจนตาย เข้ามาเป็นดัชนีคนตายจากความสิ้นหวัง
ถ้าใช้ข้อมูลประเทศไทยจากองค์การอนามัยโลกใส่เข้าไปเพื่อหาจำนวนคนไทยที่ตายจากความสิ้นหวังในยุคของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะพบว่าในช่วง 5 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่ก่อนโควิดนั้น คนตายจากความสิ้นหวังเพิ่มขึ้น 34% คือ จากปีละ 1.4 หมื่นคน เป็นปีละเกือบ 2 หมื่นคน

และถ้าใช้ข้อมูลขององค์การอนามัยโลกคำนวณต่อไปว่า ในช่วงโควิดมีคนไทยตายจากความสิ้นหวังกี่คน คำตอบก็คือว่า มากกว่า 4 หมื่นคน

มีคนไทยที่เลือกจะจบชีวิตตัวเองจากการ ฆ่าตัวตาย เสพยาจนตาย กินเหล้าจนตาย ในช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมา มากกว่า 4 หมื่นคน
นี่คือ “โรคระบาดของความสิ้นหวัง” ที่มีคนตายมากกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 31,098 คน เสียอีก
ในยามที่บ้านเมืองบอบช้ำ ข้าวยากหมากแพง ผู้คนสิ้นหวังด้วยวิกฤติที่เราไม่เคยเจอมาก่อนแบบนี้ นายกรัฐมนตรีคนต่อไปต้องไม่ใช่คนที่ทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนตน แต่ต้องเป็นเพื่อประโยชน์ของประชาชนเอง
ต้องเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ มีความเป็นสากล ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ
ต้องเป็นคนที่รับฟังคนอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของตัวเองและคิดว่าจะสร้างอนาคตที่ดีกว่าร่วมกันได้อย่างไร