จากกรณีที่มีคลิปครูคนหนึ่งของโรงเรียนวังหลวงพิทยาสรรพ์ จ.หนองคาย ทำร้ายร่างกายเด็กนักเรียนอย่างรุนแรง นับวันเราจะเห็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงเรียนอย่างชาชินจนลืมไปว่า นี่คือสถานศึกษาที่จะบ่มเพาะผู้ที่จะเป็นพลเมืองของประเทศในอนาคต ทำให้เราต้องตั้งคำถามถึงกระทรวงศึกษาธิการว่าเราปล่อยให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
การบ่มเพาะความรุนแรงในโรงเรียนที่เราเห็นทางกายภาพ เป็นเพียงปลายเหตุของความรุนแรงทางวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกในระบบการศึกษาไทย แน่นอนว่าการแก้ปัญหานำความรุนแรงออกจากระบบการศึกษาได้ต้องทำงานหนักหลายส่วน ทั้งหลักสูตร ห้องเรียน สภาพแวดล้อม การใช้หลักจิตวิทยาในการทำความเข้าใจ ฯลฯ แต่จากกรณีครูทำร้ายนักเรียนที่เพิ่งเกิดขึ้น แม้แต่การแก้ปัญหาปลายเหตุอย่างการดำเนินการเอาผิดอย่างตรงไปตรงมายังทำไม่ได้
จากการให้ข้อมูลของผู้ปกครองนักเรียนที่โดนทำร้าย มีการออกมาบอกว่าโรงเรียนพยายามเจรจาปกปิดไม่ให้เรื่องแดง มีการข่มขู่นักเรียนผ่านเสียงตามสายว่านักเรียนคนใดที่เก็บคลิปวิดิโอไว้จะไม่มีสิทธิ์สอบ เมื่อถามไปยัง ผอ.โรงเรียน และผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษาล้วนไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัด ได้แต่การปัดสวะให้พ้นตัวด้วยข้อความที่ว่า “จะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย”
เป็นเรื่องน่าตลกอย่างยิ่งในสังคมไทย ที่ “ความเป็นธรรม” กลายมาเป็นข้ออ้างของผู้มีอำนาจในการลอยนวลพ้นผิดได้ ระหว่างฝ่ายหนึ่งที่ไม่ชอบธรรม กับอีกฝ่ายผู้เสียหายที่เป็นผู้ถูกกระทำ ในสังคมที่เป็นธรรมย่อมรู้ได้ว่าควรจะให้ “ความเป็นธรรม” กับฝ่ายใด
ณัฐวุฒิ บัวประทุม รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ให้ความเห็นเอาไว้ว่าเมื่อเห็นข่าวแบบนี้ กระทรวงศึกษาฯ ควรพิจารณาโทษวินัยสูงสุดด้วยการไล่ออกจากราชการ และตั้งเรื่องเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู และเผื่อใครไม่รู้ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ควรเป็นเจ้าภาพกล่าวโทษดำเนินคดีอาญา ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ จนถึงที่สุด
และการดำเนินการของกระทรวงศึกษาธิการ ไม่ใช่ควรหยุดแค่ครูที่ลงมือทำเพียงคนเดียว แต่ต้องสืบสวนผู้บริหารของโรงเรียนทั้งหมด ทุกครั้งที่เกิดเหตุห่วงแต่เสียชื่อ ช่วยกันปกปิดผู้บริหารโรงเรียนที่พยายามทำปกปิดซึ่งเป็นสร้างวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดและไม่รับผิดชอบ ต้องเอาผิดผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษาที่ไม่ปกป้องคุ้มครองสิทธินักเรียนและเข้าไปดำเนินการอย่างรวดเร็วเพียงพอ
ส่วนธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้เรียกร้องไปยัง ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ว่าการเปลี่ยนแปลงการศึกษานั้นต้องเปลี่ยนถึงรากฐาน และรัฐมนตรีควรเริ่มเห็นได้แล้วว่าความรุนแรงที่บ่มเพาะในสถานศึกษาเป็นภัยต่อเด็กและเยาวชน วันนี้โรงเรียนไม่เป็นที่ปลอดภัย โรงเรียนต้องเป็นโรงเรียน ไม่ใช่สถานกักกันทรมานเด็กเยาวชน
“คราวก่อนครูข่มขืน คราวนี้ครูซ้อมนักเรียน ต้องเปลี่ยนให้โรงเรียนเป็นสถานที่ทรมานเด็กก่อนหรืออย่างไรท่านถึงสนใจแก้ปัญหาอย่างจริงจัง”
ทุกวันนี้เรามีรัฐมนตรีศึกษาก็เหมือนไม่มีเพราะไม่ได้มีรัฐมนตรีที่มาจากความรู้ความสามารถ แต่มาจากการแบ่งโควตากันทางการเมือง ไม่ได้คิดว่าคนที่มาจากนักการเมืองจะไม่เก่ง แต่จากที่เราเห็น นักการเมืองที่บริหารประสบความสำเร็จ มีผลงาน ล้วนมาจากการ “ลงมือทำ” อย่างใส่ใจ