
เดือนแรกปี 2566 ประชาชนเตรียมจ่ายค่าไฟแพงกันถ้วนหน้า เพราะตั้งแต่ต้นปี 2566 เป็นต้นไป รัฐบาลจะไม่ออกมาตรการควักเงินช่วยลดค่าไฟบ้านเรือนแล้ว (หลังจากที่ก่อนหน้านี้ประกาศขึ้นค่าไฟแต่ควักงบกลาง 8,000 ล้าน มาตรึงค่าไฟสำหรับภาคครัวเรือน)
ทำให้ประชาชนผู้ใช้ไฟที่ใช้ไฟน้อยกว่า 500 หน่วยต่อเดือน จะต้องกลับมาจ่ายค่าไฟฟ้า Ft ในราคาจริงที่แพงขึ้น
เช่น ถ้าครัวเรือนใช้ไฟฟ้า 300 หน่วย
- งวดสิ้นปี 65 Ft หลังส่วนลดรัฐบาล คือ 1.39 สตางค์/หน่วย
- แต่ต้นปี 66 Ft จะกลายเป็น 93.43 สตางค์/หน่วย
👉 ซึ่งหมายถึงทำให้ค่าไฟฟ้าจะต้องจ่ายแพงขึ้น 276 บาท/เดือน หรือ 22% คือจากเดิมที่เคยเสียค่าไฟ 1,264 บาท จะต้องจ่าย 1,539 บาทในเดือนนี้
มาตรการส่วนลดค่าไฟที่ออกมาเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น เพราะสุดท้ายที่มาของเงินก็เป็นเงินภาษีของประชาชนทั้งนั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า รัฐบาลควักเงินมาช่วยได้แค่งวดเดียว ก็ช่วยต่อไม่ไหวแล้ว
แต่รัฐบาลยังคงไม่ยอมแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง แล้วเลิกเกรงใจกลุ่มทุนพลังงาน เพียงแค่มีความกล้าหาญทางการเมืองซักนิด เปลี่ยนนโยบายพลังงานให้ยั่งยืน
เริ่มตั้งแต่เจรจากับโรงไฟฟ้าเอกชนที่ไม่ได้เดินเครื่องเพื่อลดหรือเลื่อนการจ่ายค่าประกันกำไร และเปลี่ยนนโยบายก๊าซ นำก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยมาผลิตไฟฟ้าให้ประชาชนใช้ไฟฟ้าราคาถูกก่อนนำไปให้กลุ่มทุนพลังงานแย่งเอาก๊าซจากอ่าวไทยไปขายให้อุตสาหกรรมเป็นเชื้อเพลิง
ถ้าก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล นโยบายทั้งหมดกี่กล่าวมานี้ เราสามารถทำได้ทันที เพราะรัฐบาลที่มาจากประชาชนย่อมเข้าใจ และรู้ดีที่สุดว่าต้องแก้ปัญหาอย่างไรให้ตอบสนองกับประโยชน์ของประชาชน