รับชมการอภิปรายเต็มที่นี่ https://youtu.be/BTPE_Dduu_4
24 มิถุนายน 2564
เรียนประธานสภาที่เคารพ กระผม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล
เป็นโอกาสดีอย่างยิ่ง ที่รัฐสภาได้มาอภิปรายเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 24 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันครบรอบ 89 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
วันที่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งในประเทศนี้ เช่น เป็นจุดที่ให้กำเนิดระบบรัฐสภา เป็นวันที่ไพร่ฟ้าได้เปลี่ยนสถานะมาเป็นพลเมือง เป็นเจ้าของประเทศที่มีสิทธิเสมอกัน
วันที่ 24 มิถุนายน 2475 ยังเป็นจุดกำเนิดของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเรามาอภิปรายกันในวันนี้
แก่นแกนที่สำคัญที่สุดของรัฐธรรมนูญหลังเหตุการณ์ 24 มิถุนายน 2475 ปรากฏอยู่ในมาตราแรก ซึ่งบัญญัติไว้อย่างเรียบง่ายว่า “อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย”
นี่คือเจตจำนงที่ต้องการจะเปลี่ยนระบอบการเมืองจากระบอบเจ้าชีวิต มาสู่ระบอบกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ สร้างสถาบันการเมืองที่ยึดโยงกับอำนาจสูงสุดของราษฎร หาใช่อำนาจที่ทำนาบนหลังราษฎร เป็นหลักการที่เรียบง่ายแต่สำคัญยิ่งในการปกครองแบบประชาธิปไตย
ถึงกระนั้น วันนี้คือวันที่ 24 มิถุนายน 2564 ผ่านมาเกือบ 90 ปี เจตจำนงสำคัญนั้นก็ยังไม่เกิดขึ้น เพราะแรงต้าน การแย่งชิงอำนาจ การทำรัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่า ที่ทำให้สังคมไทยยังคงย่ำอยู่กับที่เป็นวงจรอุบาทว์
ครั้งแรกที่เกิดการรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญก็คือปี 2490 ซึ่งได้กลายเป็นต้นแบบของการยึดอำนาจในประเทศไทยหลังจากนั้นเรื่อยมา คือทำการรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ ทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อสืบทอดอำนาจ ถ้ายังไม่พอใจก็ทำรัฐประหารใหม่อีกครั้งหนึ่ง วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ไม่รู้จบ
วุฒิสภาที่เรารู้จักกันในวันนี้ ก็กำเนิดขึ้นจากการรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญครั้งแรกนี่แหละครับ เราถูกสอนให้ท่องกันมาผิดๆ ตลอดว่าวุฒิสภามีหน้าที่ในการช่วยกลั่นกรองกฎหมาย แต่แท้จริงแล้ว หน้าที่หลักของวุฒิสภาไทยคือ การเป็นหนึ่งในกลไกที่คอยกดทับอำนาจที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนให้อยู่ใต้อำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง มีครั้งเดียวที่เรามีสมาชิกวุฒิสภาจากการเลือกตั้ง นั่นคือ วุฒิสภาภายใต้รัฐธรรมนูญ 2540 แต่สุดท้าย รัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปธงเขียวก็จบชีวิตอันสั้นลง ด้วยการรัฐประหาร 2549 หลังจากนั้นการเมืองไทยก็ถอยหลังลงคลองเรื่อยๆ มาจนมาจบที่รัฐธรรมนูญฉบับ คสช. ในปัจจุบัน
ท่านประธานครับ เมื่อเราพูดถึงการจัดทำรัฐธรรมนูญ ประสบการณ์ที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งของสังคมไทย คือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540
การปฏิรูปการเมืองและการจัดทำรัฐธรรมนูญในครั้งนั้น ถูกออกแบบด้วยโจทย์และสถานการณ์ของสังคมไทยเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ซึ่งขณะนั้นหลงเชื่อกันว่า ทหารได้กลับเข้ากรมกองไปแล้ว จะไม่มีการรัฐประหารเกิดขึ้นในประเทศไทยอีกแล้ว ปัญหาหลักของการเมืองไทยมีเพียงการทุจริตคอร์รัปชั่นของนักการเมือง พรรคการเมืองไม่มีความเป็นสถาบัน และรัฐบาลที่ไม่มีเสถียรภาพ
ดังนั้น รัฐธรรมนูญ 40 จึงพยายามออกแบบให้เน้นระบบสองพรรคการเมืองใหญ่ ภายใต้การกำกับควบคุมขององค์กรอิสระต่างๆ ที่หวังว่าจะเป็นกลไกตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจ นอกจากนี้ยังมีความพยายามเพิ่มสิทธิเสรีภาพให้ประชาชนและขยายการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น
ผลของรัฐธรรมนูญ 40 ประสบความสำเร็จ โดยทำให้เรามีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพสูงมาก ประชาชนได้ผลประโยชน์จากการแข่งขันในเชิงนโยบาย แต่ต่อมาก็เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ในปัญหาเรื่องการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจ เกิดคำถามเกี่ยวกับการแทรกแซงองค์กรอิสระ ซึ่งผมเชื่อว่า หากเราปล่อยให้สังคมได้เรียนรู้ประสบการณ์และช่วยกันใช้กระบวนการทางประชาธิปไตยในการแก้ข้อบกพร่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น สังคมไทยของเราคงจะพัฒนาและก้าวไปข้างหน้าได้อีกมากมายมหาศาล
ทว่า “การเมืองที่มีเสถียรภาพ” ก็ถูกตบหน้า ถูกกระชากให้ตื่นขึ้นมาพบกับ “การเมืองที่เป็นจริง” เมื่ออดีตประธานองคมนตรีท่านหนึ่งได้ไปบรรยายที่โรงเรียนนายร้อย จปร. ต่อหน้าผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้นว่า เราเกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ซึ่งไม่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ จากนั้นท่านก็เปรียบเปรยว่ารัฐบาลเป็นเพียงแค่ jockey เป็นเพียงเด็กขี่ม้า แต่ไม่ใช่เจ้าของม้า พูดอย่างชัดเจนว่าเจ้าของม้า ไม่ใช่ทั้งประชาชนและรัฐบาลพลเรือน
นี่เป็นปฐมบทที่สุดท้ายจบลงด้วยการก่อรัฐประหารในปี 2549 โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเมื่อรัฐประหาร 2549 ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างเบ็ดเสร็จ จึงเกิดการรัฐประหารอีกครั้งในปี 2557 อันเป็นที่มาของรัฐธรรมนูญฉบับ คสช. และมีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาในวันนี้
หากกล่าวอย่างรวบรัดที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2549 จนถึงวันนี้ คือความขัดแย้งทางการเมืองที่ชนชั้นนำกลุ่มหนึ่งไม่ยอมให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนโดยแสดงผ่านอำนาจจากการเลือกตั้งในระบบรัฐสภา
ผมอภิปรายมาถึงตรงนี้ เพราะต้องการสื่สารครับว่า ตลอดสองวันที่ผ่านมา เราเถียงกันผิดโจทย์ เราหาคำตอบกันผิดคำถาม ประเด็นที่เราควรนำมาเป็นโจทย์ในการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันนี้และในอนาคตข้างหน้า เป็นปัญหาที่ว่า อำนาจสูงสุดของประเทศนี้ เป็นของใคร? ซึ่งนี่เป็นปมปัญหาใจกลางที่ยังไม่ลงตัวนับตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2475 ร่วม 90 ปีมาแล้วเราก็ยังเถียงกันไม่จบ
ปัญหาใจกลางของการเมืองไทยที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญของเรา จึงไม่ใช่เรื่องงบประมาณของ ส.ส. หรือ ส.ว. ไม่ใช่เรื่องสิทธิเสรีภาพที่เป็นแค่กระดาษเปื้อนหมึกที่เราพูดได้แต่ปฏิบัติไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องระบบเลือกตั้งที่หวังว่าจะมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมาก ที่สุด เพราะต่อให้ใครชนะเลือกตั้งได้ท่วมท้นเพียงใด มีเสถียรภาพเพียงใด พวกเราก็เป็นได้แค่เพียง “เด็กขี่ม้า” ซึ่งม้าอาจพยศอีกเมื่อไรก็ได้ตามคำสั่งเจ้าของม้าที่ไม่ใช่ประชาชน
ท่านประธานครับ ตราบใดที่เรายังแก้ปมปัญหาใจกลางนี้ไม่ได้ เราก็จะไม่สามารถหลุดออกจากหลุมดำทางการเมืองนี้ได้ และสังคมไทยที่เรารักก็คงจะไม่มีศักยภาพ ไม่มีสมาธิเพียงพอในการที่จะไปพัฒนายุทธศาสตร์ของชาติในการพัฒนาเศรษฐกิจ เราก็คงที่จะไม่มีเวลาเพียงพอในการคิดช่วยเหลือคนตัวเล็กตัวน้อย ทลายทุนผูกขาดที่เกาะแน่นอยู่กับการเมืองที่ผูกขาด เราคงจะไม่มีเวลาเพียงพอที่จะไปนึกถึงเรื่องของสวัสดิการถ้วนหน้าเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่กำลังประสบกับวิกฤตครั้งใหญ่ในโลกใบใหม่ เราก็คงจะไม่มีเวลา ไม่มีสมาธิไปนึกถึงเรื่องการยกเครื่องระบบการศึกษาให้ลูกหลานของเราให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เท่าทันโลก
เมื่อมองเห็นการเมืองที่เป็นจริงเช่นนี้ ผมและพรรคก้าวไกลจึงเสนอให้รัฐสภาเร่งเดินหน้าการจัดทำประชามติเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนเป็นผู้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ ให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้แสวงหาฉันทามติร่วมกันว่าระบบการเมืองแบบไหนที่เรายอมรับกันได้ พร้อมที่จะอยู่ร่วมกันได้ ถึงแม้จะมีความคิด ความฝัน หรืออุดมการณ์ของเราจะต่างกันเพียงใดก็ตาม และนี่คือก้าวแรกที่จะนำเราไปสู่การหยุดวงจรอุบาทว์ทางอำนาจนี้เสียทีหนึ่ง
ท่านประธานครับ ในการลงมติเฉพาะหน้าวันนี้ ผมและพรรคก้าวไกลขอเชิญชวนให้สมาชิกรัฐสภาผู้ยังห่วงใยในอนาคตของบ้านเมืองเรา ช่วยกันโหวตเพื่อหยุดแผนการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อต่ออายุระบอบประยุทธ์ และร่วมมือร่วมใจกันโหวตเพื่อปิดสวิตช์ ส.ว. เปิดประตูบานแรกในการจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากเสียงของประชาชนจริงๆ ให้ได้ หากเราไม่สามารถปิดสวิตช์ ส.ว. ได้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญในรอบนี้จะไม่มีความหมาย เป็นเพียงละครตบตาประชาชนฉากใหญ่
ท้ายที่สุดนี้ ผมขออวยพรผ่านไปยังผู้มีอำนาจทุกท่านที่เชื่อว่าตัวเองจะสามารถเหนี่ยวรั้งเข็มนาฬิกาไว้ได้ ผมขออวยพรให้ท่านมีอายุยืนเพียงพอที่จะเห็นความพยายามของท่านล่มสลายไม่มีชิ้นดี เห็นความต้องการของท่านถูกบดขยี้ด้วยกงล้อของเวลาที่เดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง และได้มีโอกาสรับรู้กับตาของท่านเอง กับหูของท่านเองว่า ผู้คนและยุคสมัยจะตราหน้าพวกท่านว่าอย่างไร ไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติเรา