free geoip

เปิดหลักฐานจับโกหกคำโต — 600 ล้านสนับสนุน ‘สยามไบโอไซเอนซ์’



จับโกหกรัฐบาล ‘ซุปเปอร์ดีลวัคซีนม้าเต็ง’ อ้างได้ ‘แอสตร้าฯ’ ก่อน ใครก็มาตัดยอดไม่ได้ จนรัฐบาลใช้ภาษีประชาชน 600 ล้านหนุน ‘สยามไบโอไซเอนซ์’ สุดท้ายพังไม่เป็นท่า ถูกเลื่อนส่งไปถึงกลางปี 65 แต่ย้อนมาดู กลับไม่พบเงื่อนไขจำกัดการส่งออกในกรอบการทำสัญญา อย่างนี้โกหกกันตั้งแต่แรกนี่นา???

เข้าสู่ไตรมาส 3 แล้ว แต่วัคซีนยังไม่เต็มแขนประชาชน และไม่ได้มีมากล้นโรงพยาบาลจนไม่มีที่จะเก็บดังที่อนุทินได้เคยกล่าวคำลวงกลางสภาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา สิ่งที่ชวนเจ็บปวดหดหู่ไปกว่านั้นคือความไม่รู้สึกรู้สา แต่ละวันมีแต่คำแก้ตัวของรัฐบาลที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ในขณะที่ทุกวันนี้สิ่งเต็มแขนของประชาชนกลับเป็นด้ายดิบสายสิญจน์ที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาร่วงหล่นบนตราสังมัดรั้งผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ศพแล้วศพเล่า ส่วนในโรงพยาบาลเตียงก็กำลังล้นและเต็มไปด้วยผู้ป่วยหนัก

ประเทศที่ระบบสาธารณสุขมีความเข้มแข็งเป็นลำดับต้นของโลกอันน่าภาคภูมิใจ เดินทางมาสู่สถานการณ์ที่วิกฤตที่สุดขนาดนี้ได้อย่างไร ปฏิเสธไม่ได้ว่าแผนวัคซีนแบบ ‘แทงม้าเต็ง’ หรืออีกมุมก็คือการ ‘แทงม้าตัวเดียว’ เป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่พาพวกเราเดินมาถึงจุดนี้ และในวันนี้ ‘วิโรจน์ ลักขณาอดิศร’ จะมา ‘จับโกหก’ ในสารพัดความสับปลับของรัฐบาลชุดนี้และรัฐมนตรีสาธารณสุข ผ่านเหตุการณ์ต่างๆที่ปรากฏและสิ่งที่ซ่อนไว้ใน ‘สัญญาวัคซีน’ ที่ถูกโฆษณาเกินจริงมาตลอดเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา




‘วัคซีนสูตรผสม’ เพิ่มประสิทธิภาพหรือแค่แก้ปัญหา AstraZeneca มาไม่ทัน???

12 กรกฎาคม 2564 – ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ มีมติเห็นชอบให้ฉีดวัคซีนโควิดสลับ 2 ชนิด เข็ม 1 เป็นวัคซีน Sinovac และเข็ม 2 เป็น AstraZeneca เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา

13 กรกฎาคม 2564 – ปรากฏเป็นข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการ ศบค. สั่งให้ทบทวนการฉีดวัคซีนสูตรผสม ดังกล่าว

14 กรกฎาคม 2564 –
มีการชี้แจงเพิ่มเติมว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้สั่งระงับ แต่ให้ทุกฝ่ายรับฟังความเห็นของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติในกรณีการใช้วัคซีนสูตรผสม ซึ่งปัจจุบันยืนยันแล้วว่า รัฐบาลจะใช้วัคซีนสูตรผสมนี้ต่อไป

“แต่คำถามที่เกิดขึ้นในใจของประชาชนโดยทันที คือทำไมรัฐบาลไทยจึงตัดสินใจใช้วัคซีนสูตรผสมระหว่างวัคซีน Sinovac และ AstraZeneca? สำนักข่าวรอยเตอร์ ให้ข่าวว่าเป็นการตัดสินใจใช้เป็นครั้งแรกในโลก โดยที่ยังไม่มีการศึกษาวิจัยที่ทำอย่างเป็นระบบ และตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการในระดับนานาชาติที่มากเพียงพอ เมื่อเทียบเคียงกับประเทศอังกฤษ ที่ใช้วัคซีน AstraZeneca เป็นวัคซีนหลัก และมีโรงงานผลิตวัคซีน AstraZeneca เช่นเดียวกับประเทศไทย ก็ปรากฎว่าที่ประเทศอังกฤษ โดยคณะกรรมการร่วมด้านการให้วัคซีนและการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค (Joint Committee on Vaccination and Immunisation หรือ JCVI) ได้เสนอแนะต่อสำนักงานสาธารณสุขอังกฤษ (Public Health England หรือ PHE) ให้ใช้การฉีดวัคซีน AstraZeneca 2 เข็ม โดยร่นระยะเวลาเข็มที่ 2 ให้เร็วขึ้นจาก 12 สัปดาห์เป็น 8 สัปดาห์ ในการรับมือกับเชื้อสายพันธุ์เดลต้า ซึ่งแตกต่างจากประเทศไทย ทั้งๆ ที่มีโรงงานผลิตวัคซีน AstraZeneca ตั้งอยู่ภายในประเทศเหมือนกัน”


พล.อ.ประยุทธ์ เคยแจ้งกับประชาชนไว้เมื่อวันที่ 17 มกราคมว่า “จะไม่ยอมให้รีบร้อนฉีดวัคซีนที่ยังทดสอบไม่ครบถ้วน และไม่ยอมเป็นประเทศทดลอง ดังนั้น เพื่อความรอบคอบ ผมจึงมีนโยบายสำคัญ คือ ต้องมั่นใจก่อนว่า วัคซีนนั้นปลอดภัย จึงจะนำมาใช้กับคนไทยได้”

กรณีนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก็เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในทำนองเดียวกันเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ว่า “การเอาคนไทยมาเป็นผู้ถูกทดลองวัคซีน ไม่เคยอยู่ในหัวของ รมว.สาธารณสุขคนนี้”

แม้ว่าจะมีเหตุผลชี้แจงว่า การใช้วัคซีนสูตรผสม Sinovac และ AstraZeneca เข็ม 2 จะใช้เวลาห่างกันเพียง 3-4 สัปดาห์เท่านั้น ซึ่งเร็วกว่าการใช้ AstraZeneca ทั้ง 2 เข็ม ที่ต้องฉีดห่างกัน 8 สัปดาห์ แต่ก็มีข้อโต้แย้งว่า มีงานวิจัยที่มากเพียงพอหรือไม่ที่จะยืนยันว่าการฉีดวัคซีน Sinovac และ AstraZeneca ห่างกัน 3-4 สัปดาห์ จะมีประสิทธิผลต่อการรับมือเชื้อสายพันธุ์เดลต้าได้อย่างมีประสิทธิผล เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ประเทศไทยได้รับการบริจาควัคซีน AstraZeneca จากประเทศญี่ปุ่นจำนวน 1,050,000 โดส ซึ่งได้มีการรับมอบไปเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ประชาชนจำนวนไม่น้อยก็สงสัยว่า เหตุใดทั้งๆ ที่ประเทศไทยมีโรงงานผลิตวัคซีน AstraZeneca ตั้งอยู่ภายในประเทศ หากรับบริจาควัคซีนยี่ห้ออื่น ก็พอเข้าใจเหตุผลได้ แต่การรับบริจาควัคซีนที่เรามีโรงงานของเราเอง ยิ่งทำให้ประชาชนสงสัยเป็นอย่างมากว่า

“เป็นไปได้หรือไม่ว่า วัคซีน AstraZeneca ที่ผลิตในประเทศไทย จะไม่สามารถส่งมอบให้กับคนไทยได้ตามแผนการจัดหาที่รัฐบาลประกาศให้ประชาชนทราบ???”






จับสัญญาณ AstraZeneca ไม่มาตามนัด

13 มิถุนายน 2564 อธิบดีกรมควบคุมโรค ออกมาให้ข่าวในทำนองว่า ตัวเลข 61 ล้านโดส ไม่ใช่ตัวเลขที่ AstraZeneca จะจัดส่งมอบวัคซีนให้กับรัฐบาลไทย แต่เป็นเพียงศักยภาพในการฉีดเท่านั้น ทำให้ประชาชนกังวลเป็นอย่างมาก เพราะที่ผ่านมาแผนการจัดหาวัคซีน AstraZeneca จำนวน 61 ล้านโดส รัฐบาลได้สื่อสารให้กับประชาชนทราบในหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการสรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 20 เมษายน 2564 ที่เว็บไซต์ของรัฐบาลไทย เพจศูนย์ข้อมูล COVID-19 เพจไทยคู่ฟ้า หรือ เว็บไซต์ของสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี ซึ่งระบุข้อมูลตรงกันว่าในเดือนมิถุนายน 2564 จะได้รับวัคซีน AstraZeneca 6.3 ล้านโดส (6,333,000 โดส) กรกฎาคม-พฤศจิกายน เดือนละ 10 ล้านโดส และธันวาคมอีก 5 ล้านโดส รวมเป็น 61 ล้านโดส ภายในสิ้นปี 2564

“ปัญหาการส่งมอบเกิดขึ้นจริงๆ เดือนมิถุนายน จากข้อมูลระบบติดตามตรวจสอบย้อนกลับโซ่ความเย็น ที่จัดทำขึ้นโดยกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) พบว่ามีการส่งมอบวัคซีน AstraZeneca เพียง 5,371,100 โดส ขาดส่งจากแผนการจัดหาวัคซีน 6,333,000 โดส อยู่ถึง 961,900 โดส ซึ่งหมายถึงชีวิตของประชาชนคนไทยเกือบ 1 ล้านคน ที่สูญเสียโอกาสในการปกป้องชีวิตของตนเองจากโรคระบาด”


ต่อมา วันที่ 2 กรกฎาคม 2564 ได้รับคำยืนยันจากผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติว่า ในเดือนกรกฎาคมนี้ AstraZeneca น่าจะส่งมอบวัคซีนได้เพียง 5-6 ล้านโดสต่อเดือน ไม่ถึง 10 ล้านโดส ตามแผนการจัดหาวัคซีน ทั้งๆ ที่ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา อนุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎรด้วยตนเองว่า ในไตรมาสที่ 3 วัคซีน AstraZeneca จะมีเต็มโรงพยาบาล เต็มแขนพี่น้องประชาชนคนไทย มีจนไม่พอเก็บ นอกจากนี้ ในวันที่ 14 มีนาคม อนุทินก็ยังได้ให้สัมภาษณ์ยืนยันอีกด้วยว่า วัคซีนหลักของประเทศไทยคือวัคซีน AstraZeneca

แต่ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน รัฐบาลไทยกลับมีการสั่งหาวัคซีน Sinovac อย่างต่อเนื่องหลายระลอกทั้งที่มีและไม่มีมติ ครม. รวมๆ แล้ว 19.5 ล้านโดส ทำให้ประชาชนสับสนว่า ตกลงวัคซีนยี่ห้อไหนเป็นวัคซีนหลักกันแน่ หากวัคซีน AstraZeneca เป็นวัคซีนหลัก เหตุใดจำนวนการส่งมอบถึงได้มีน้อยกว่าวัคซีน Sinovac???




จนมาวันนี้ ประกาศเลื่อนส่งครบ 61 ล้านโดสไป 6 เดือน กว่าจะมาครบจากสิ้นปี 2564 ปาไป พฤษภาคม 2565

คำถามที่ก้องอยู่ในใจของประชาชน ก็คือในเมื่อประชาชนมีความชอบธรรมที่จะได้รับวัคซีนได้ตามแผนการจัดหาวัคซีน 10 ล้านโดสต่อเดือน และรัฐมนตรีก็ได้ให้คำมั่นเอาไว้กลางสภา เหตุใดรัฐบาลจึงไม่พยายามที่จะหารือกับ AstraZeneca ในการปรับลดการส่งออกวัคซีน เพื่อให้คนไทยได้รับวัคซีนตามสิทธิที่พึงได้รับ ทำไมรัฐบาลถึงไม่รักษาผลประโยชน์ ไม่ปกป้องชีวิตของประชาชน อีกทั้งเมื่อเช้าวันนี้ วันที่ 15 กรกฎาคม ก็เพิ่งได้ทราบความจริงจากสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผ่านรายการเจาะลึกทั่วไทยฯ ว่า…

…วัคซีน AstraZeneca จำนวน 61 ล้านโดส ตามแผนที่ต้องส่งมอบให้ประชาชนคนไทยภายในธันวาคม 2564 ได้ถูกขยายออกไปเป็นเดือน พฤษภาคม 2565 และแจ้งด้วยว่า AstraZeneca จะส่งมอบวัคซีนให้กับรัฐบาลไทย 40% ของกำลังการผลิต ซึ่งก็คือ ราวๆ 6 ล้านโดสต่อเดือน…


ซึ่งก็ไม่เป็นไปตามแผนการจัดหาวัคซีนเดือนละ 10 ล้านโดส ตามที่รัฐบาลได้ให้คำมั่นเอาไว้กับประชาชนคนไทย และยังได้บอกเพิ่มเติมอีกด้วยว่า ในสัญญาไม่ได้กำหนดระยะเวลาการส่งมอบ แต่อย่างไรก็ตาม โดยหลักการแล้วแม้ว่าจะไม่มีการกำหนดระยะเวลาการส่งมอบเอาไว้ในสัญญา แต่ก็ต้องระบุถึงแผนประมาณการการส่งมอบ ซึ่งไม่มีไม่ได้ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลนำเอาแผนประมาณการการส่งมอบนั้น มาชี้แจงให้กับประชาชนคนไทยทราบ

พรรคก้าวไกลเชื่อว่า ข้อความนี้น่าจะอยู่ในสัญญาบริเวณที่ถมดำที่ปิดบังไว้ไม่ให้ประชาชนทราบ ดังนั้นพรรคก้าวไกลขอเรียกร้องให้เปิดเผยข้อมูลเเละเอกสารดังกล่าวโดยเร็วที่สุด คำถามที่ยังกึกก้องอยู่ในหัวใจของประชาชนคนไทยทุกคน ในตอนนี้ ก็คือ ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายอนุทิน ชาญวีรกูล เเละนายสาธิต ปิตุเตชะ ยอมให้มีเลื่อนการจัดส่งวัคซีนได้อย่างไร และเหตุใดจึงไม่พยายามที่จะจำกัดการส่งออกวัคซีน เพื่อให้ประชาชนคนไทยได้รับ ทั้งๆ ที่ คุณอนุทิน เคยบอกเอาไว้ชัดว่า “จะไม่มีวันที่คนไทยจะถูกตัดคิว ไม่มีวันที่จะมีคนมาแย่ง ไม่มีวันที่จะไม่ถึงมือคนไทย




ข้อสังเกตใหม่ ไม่เคยมี “ไทยต้องได้ก่อน” ในสัญญา

เมื่อมาตรวจสอบเอกสารทั้งหมดเกี่ยวกับสัญญาวัคซีน AstraZeneca ที่ได้รับมาจากสถาบันวัคซีนแห่งชาติ พบเรื่องที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง ในเอกสาร Letter of Intent หนังสือแสดงเจตจำนงก่อนการทำสัญญา รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยคุณอนุทิน ได้ไปลงนามเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2563 ย้ำว่า วันที่ 12 ตุลาคม 2563 โดยในหัวข้อที่ 1. ข้อย่อย C. ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า

“Agreeing to the export of the vaccine without limitations, based on the constructive discussion between MOPH and AstraZeneca แปลได้ว่า ได้ตกลงในเงื่อนไขการส่งออกวัคซีนโดยปราศจากข้อจำกัด ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของการหารือกันอย่างสร้างสรรค์ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข และ AstraZeneca”

“แม้ว่าหนังสือฉบับนี้จะไม่มีผลผูกพันกับกฎหมายเเต่เป็นเรื่องที่ประชาชนต้องถามต่อพล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ และคุณอนุทิน ต้องตอบประชาชนว่า ทำไมถึงไปแสดงเจตจำนงในการทำสัญญาอย่างนั้น ไปตกลงให้มีการส่งออกโดยปราศจากข้อจำกัดได้อย่างไร แล้วเงื่อนไขการอุดหนุนงบประมาณจาก พ.ร.ก.เงินกู้ฯ จำนวน 600 ล้านบาทให้กับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด โดยระบุเงื่อนไขว่า “จะได้รับการส่งมอบวัคซีนเป็นอันดับแรกตามความต้องการ ที่เหลือจึงนำไปส่งออก” เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2563 นั้นไม่มีความหมายเลยหรืออย่างไร?!?






ย้อนฟัง ‘อนุทิน’ เคยยืนยันหนุน ‘สยามไบโบไซเอนซ์’ ผลิต AstraZeneca วัคซีนไทยจะไม่มีวันถูกใครแย่ง?!?

อนุทินเองก็เคยยืนยันเอาไว้อย่างหนักแน่น ในการชี้แจงต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า

“วัคซีน AstraZeneca จะไม่มีวันถูกตัดคิว ไม่มีวันถูกคนมาแย่ง ไม่มีวันที่จะไม่ถึงมือของเรา เพราะผลิตอยู่ในบ้านของเรา”


พอมาวันนี้ รัฐมนตรีช่วย สาธิต ปิตุเตชะ กลับบอกว่าทั้งหมดนี้ไม่มีในสัญญาแต่อย่างใด เป็นเพียงตัวเลขที่พูดคุยต่อรองกันเท่านั้น อ้าวววววว!!!???!!!!

/// คำถามสำคัญจึงกลับมาที่รัฐบาล ว่าทั้งหมดที่เคยป่าวประกาศกับประชาชนถึงตัวเลขจำนวนโดสและเงื่อนเวลาที่จะได้รับนั้น เป็นตัวเลขที่ฝ่ายเรามโนเองล้วนๆ ไม่มีในสัญญาหรอกหรือ??? และที่เคยพูดปกป้องดีลนี้พร้อมการสนับสนุนสยามไบโอไซเอนซ์อีก 600 ล้านบาท พร้อมกันที่ระบุในเอกสารเงินกู้ว่าไทยมีสิทธิในวัคซีนก่อนนั้น…ก็คือโกหกคำโตมาตลอด อย่างนั้นหรือ???///

ทั้งหมดนี้ ไม่เข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร? เพราะรัฐบาลก็เสียเครดิต ประชาชนก็ติดเชื้อตายกันวันละเป็นร้อย

คิดได้แค่อย่างเดียว ก็คือการชงให้บริษัทเอกชนเพียงรายเดียว ได้รับการอัปเกรดเครื่องไม้เครื่องมือโรงงานตนเอง และได้สิทธิ์รับจ้างผลิตวัคซีน ได้หน้าและได้เงินกันไปเท่านั้นหรือ?

นี่คือการ ‘แทงม้าตัวเดียว’ หวังว่าทุกอย่างจะดีตามที่คิด ไม่มีแผนเผื่อ ไม่กระจายความเสี่ยง เมื่อพลาดขึ้นมา กว่าจะรู้ตัว ก็บรรลัยกันแล้วทั้งชาติ

Login

จากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล 7 สิงหาคม 2567 เราขอยุติการรับสมัครสมาชิกพรรคและการรับบริจาค ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ทั้งนี้อดีต ส.ส. พรรคก้าวไกลทั้งหมดได้ย้ายไปยังพรรคประชาชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กรุณาติดต่อที่ เว็บไซต์พรรคประชาชน

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า