สลายการชุมนุมตามหลัก ‘สาแก่ใจ’ อาวุธยุทโธปกรณ์กดความคิดคนไม่ได้ ปราบรุนแรงแค่ไหนก็ไปต่อ เพราะนี่คือ ‘การชุมนุม’ เพื่อหาทางรอดจากความตาย
แค่ลงรถเมล์ก็ยิงใส่เขาแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าเขามาเพื่ออะไร ยังไม่มีการเจรจาพูดคุยก็แต่ปักหลักแล้วว่าทุกการชุมนุมไม่ให้เกิด ไม่ให้ขยับเขยื่อน เอาสิ่งของเอาอาวุธมายุติ ภาพที่ออกมาคือความพยายามสร้างความรุนแรงให้กลายเป็นความคุ้นชินต่อประชาชนทางบ้านและบอกว่าจะยุติความวุ่นวายได้ด้วยการทำแบบนี้ ซึ่งผมคิดว่าไม่เป็นความจริงและมีแต่จะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งเป็นการพิสูจน์ว่าผู้นำประเทศไม่เคยมองเห็นและรับรู้ถึงความรู้สึกทุกข์ร้อนของประชาชนเลย เชื่อว่าไม่ว่าจะใช้รุนแรงแค่ไหน การชุมนุมก็ยังขับเคลื่อนและเดินต่อ เพราะการชุมนุมครั้งนี้คือการหาทางรอดจากความตายจึงไม่มีอะไรจะไปกีดขวางปิดกั้นเขาได้”
วันที่ 14 ส.ค. 64 ที่ทำการพรรคก้าวไกล ในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร และโฆษกพรรคก้าวไกล ตอบคำถามสื่อมวลชนต่อกรณีการชุมนุมที่เกิดขึ้นในช่วงนี้
“ต้องเข้าใจว่าเป็นการชุมนุมในช่วงวิกฤตโรคระบาด เชื่อว่ามีหลายคนที่เห็นด้วยมากกว่านี้แต่ไม่สามารถแสดงตนออกมาร่วมชุมนุมได้ สำหรับคนที่ออกมาก็คือตัวแทนของผู้ได้รับผลกระทบ สิ่งที่อยากเรียกร้องไปยังเจ้าหน้าที่ชุดควบคุมฝูงชน ผู้บังคับบัญชาในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือผู้บังคับบัญชาในระดับสูงขึ้นไปคือ อยากให้เข้าใจถึงความอัดอั้นของพี่น้องประชาชนด้วย
“ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดที่คร่าชีวิตคนในครอบครัวของเขา เพื่อนร่วมงานของเขา เพื่อนสนิทของเขา ทำให้เขาต้องมาเรียกร้องเพราะมันไม่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นผ่านการบริหารราชการแผ่นดินเลยในวิกฤตแบบนี้ ไม่มียารักษาให้ ไม่มีเตียง ไม่มีวัคซีน กลับกันแต่ละวันมีแต่ภาพข่าวกลุ่มวีไอพีได้เข็มสามบ้าง มีจังหวัดวีไอพีที่ได้รับวัคซีนก่อนเพื่อนบ้าง ซึ่งคนที่ออกมาบางคนยังรอวัคซีนเข็มแรกอยู่เลย บางคนยังถามหาแค่เตียงสนาม ในขณะที่กลุ่ม VIP ที่ยังไม่มีอาการอะไรก็เข้านอนรักษาในโรงพยาบาล มีภาพอุปกรณ์ครบครันตั้งอยู่ข้างๆเพียงเพื่อความสบายใจเท่านั้น ความอัดอั้นเหล่านี้จึงทำให้เขาออกมาตัดสินใจสู้ตาย”
“จากเดิมที่เยาวชนคนหนุ่มสาวมีข้อเรียกร้องไม่กี่ข้อที่รัฐบาลช่วยเหลือเขาได้แต่กลับไม่ทำ จนกลายเป็นทำให้เขาต้องออกมาสู้ตายเพื่อหาทางรอด รัฐบาลไม่มองตรงนี้กลับใช้ความรุนแรงเข้าจัดการ ซึ่งประวัติศาสตร์ก็มีบทเรียนอยู่แล้วว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ไม่อาจกดความรู้สึกนึกคิดประชาชนได้ แต่รัฐบาลก็ยังเลือกใช้การบังคับขู่เข็น อนุมัติให้ใช้อาวุธคุมฝูงชนโดยไม่ใช่หลักสากล แต่เป็นหลักสาแก่ใจเท่านั้น”
ย้อนชมการแถลงข่าว https://youtu.be/PzH2rGaDM0U