วัคซีนคนแทงม้าตัวเดียว วัคซีนควายแทงตายทั้งฝูง : สรุปการอภิปรายโดย “นิติพล ผิวเหมาะ” ว่าด้วยวัคซีน “ลัมปีสกิน”
“นาทีนี้ วินาทีนี้ ไม่มีวัคซีนไหนที่บาดลึกไปถึงหัวใจของพี่น้องเกษตรกรที่เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย มากไปกว่าวัคซีนรักษาโรคลัมปีสกินแล้วครับ”
รับชมคลิปการอภิปรายเต็มที่นี่ https://youtu.be/hbDkUwHozxU
นั่นคือถ้อยคำเปิดนำการอภิปราย โดย นิติพล ผิวเหมาะ ส.ส. พรรคก้าวไกล ที่อภิปรายขอตัดลดงบกลาง (ที่ตีเช็คเปล่าให้ พล.อ.ประยุทธ์) ลง 10% เนื่องจากที่ผ่านมาการใช้จ่ายงบกลางตามอำนาจนายกรัฐมนตรี เป็นที่พิสูจน์แล้วว่า ไร้ประสิทธิภาพสิ้นดี!
และที่นิติพลต้องพูดถึงเรื่องลัมปีสกิน ก็เพราะนั่นคือสิ่งที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องของงบกลาง
ประเทศไทยวันนี้ นอกจากโรคระบาดโควิด-19 ในคนที่กำลังเป็นวิกฤตแล้ว ในหมู่ปศุสัตว์อย่างโค-กระบือ ก็มีโรค “ลัมปีสกิน” ที่กำลังระบาดอย่างกว้างขวางอยู่ในขณะนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
วิกฤตินี้ส่งผลอย่างใหญ่กลวงต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงโค-กระบือ ความสูญเสียจากอาการเจ็บป่วยและความตายของโค-กระบือวันนี้สูงไปถึง 1,400 ล้านบาทแล้ว ยังไม่นับรวมกับความเสียหายจากการไม่ได้ส่งออกโคเนื้ออีกกว่าเดือนละ 1,200 ล้านบาท
หากรวมตัวเลขความเสียหายทั้งหมด ตั้งแต่มีการระบาดของลัมปีสกินเมื่อต้นปี 2564 จนถึงวินาทีนี้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้สร้างความเสียหายให้กับพี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงโค-กระบือไปแล้วนับกว่า 6,000 ล้านบาท จากการใช้งบกลางที่ไม่มีประสิทธิภาพ ในการรับมือกับลัมปีสกิน
แน่นอนว่าโรคระบาดเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าควบคุมไม่ได้เลย และหากมีผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพ เราจะสามารถป้องกันความสูญเสียให้ไม่ไปถึงหลักหมื่นล้านเช่นนี้ได้
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม 2563 เมื่อประเทศไทยได้รับหนังสือเตือนจากองค์การสุขภาพสัตว์โลก (OIE) ถึงการระบาดของโรคลัมปีสกิน ซึ่งทางการไทยก็เตรียมรับมืออย่างดี ออกราชกิจนานุเบกษาให้ชะลอการนำเข้าโค-กระบือ
แต่ในฐานะที่ไทยแลนด์ขึ้นชื่อเรื่องการเป็นประเทศแห่งการมีข้อยกเว้น แน่นอนว่ารากิจจานุเบกษาแผ่นเดียวจะไปหยุดยั้งอะไรผู้มีอำนาจจากการทำอะไรได้?
“ความวัว” มาเกิดขึ้น ก็เมื่อรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เอง กลับกลายเป็นผู้มอบนโยบายผ่อนปรนการนำเข้าโคเนื้อถึงจังหวัดตาก จนเป็นผลให้เกิดการระบาดของลัมปีสกินขึ้นจนได้
(เอาเข้าจริง จะว่าไปก็เหมือนกับตอนที่รัฐบาลไทยอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินทางจากพื้นที่ระบาดโควิด-19 เข้ามาในประเทศไทยเมื่อปีที่แล้ว ทั้งๆ ที่ทั่วโลกเขาเริ่มปิดประเทศ แจ้งเตือนการเดินทางกันทั่ว เพราะรู้ว่าโควิด-19 กำลังจะมาแล้ว)
และเพราะลัมปีสกินไม่ใช่โรคประจำถิ่น ไม่ใช่โรคที่มีในไทยมาก่อน จึงไม่มีวัคซีนให้ฉีด และเมื่อไม่มีวัคซีนป้องกันใดๆ ลัมปีสกินก็ระบาดไปทั่ว
“พี่น้องเกษตรกรที่ฟังผมอภิปรายอยู่ตอนนี้ ลองมองดูรอบตัวท่านครับ ตอนนี้ที่บ้านท่านคนนั่งอยู่เต็มบ้าน แต่บรรยากาศมันหดหู่มากเพราะได้รับผลกระทบโดยตรงจากโควิด ลูกที่เพิ่งเรียนจบก็หางานทำยังไม่ได้
ลูกที่ทำงานประจำอยู่แล้ว ถ้าไม่ตกงานก็ถูกลดเงินเดือน ต้องกลับมาอยู่บ้านเพื่อลดค่าใช้จ่าย สมบัติที่เคยมีก็ขายหมด เพื่อต่อลมหายใจไปได้อีกหน่อย มองรอบบ้าน สมบัติชิ้นสุดท้ายก็คือวัว ที่เลี้ยงไว้อย่างดี หวังว่าจะขายเป็นเงินเพื่อเอามาต่อลมหายใจเฮือกสุดท้าย แต่ก็มาป่วยตายเพราะติดลัมปีสกิน เพราะไม่วัคซีน”
ความวัวนี้ ไม่ใช่เคราะห์กรรมครั้งสุดท้ายสำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงโค-กระบือในประเทศไทย นับตั้งแต่การระบาดของลัมปีสกินเมื่อเดือนมีนาคม 2564 เพราะ “ความควาย” ที่กำลังจะตามมาแทรก เกิดขึ้นจากการบริหารวัคซีนที่ไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลไทย
เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 รัฐบาลได้อนุมัติงบกลาง 684 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อวัคซีนลัมปีสกินมา 5 ล้านโดส ทั้งๆ ที่โค-กระบือในประเทศไทยมีประมาณ 10 ล้านตัว
ตอนนี้ฉีดวัคซีนไปแล้วแค่ประมาณ 7 แสนโดส หรือประมาณ 7% ของประชากรโค-กระบือทั้งหมดในประเทศ
ย้ำอีกครั้ง : ลัมปีสกินระบาดในไทยตั้งแต่เดือนมีนาคม 2564 ถึงวันนี้ 18 สิงหาคม 2564 เพิ่งฉีดได้แค่ 7 แสนโดส!
แต่คำถามที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือแล้ววัคซีนลัมปีสกินอีก 5 ล้านโดสที่เหลือ เมื่อไหร่จะมา?
และที่สำคัญ วัคซีนลัมปีสกินยี่ห้อที่ดีที่สุด ใช้แพร่หลายมากที่สุดในโลก ถ้าสั่ง 5 ล้านโดส ก็ต้องสั่งล่วงหน้าและใช้เวลาในการผลิตประมาณ 2 เดือน
แต่จนถึงวินาทีนี้ รัฐบาลยังไม่ได้สั่งวัคซีนยี่ห้อนั้นเลย
ประโยคปิดท้ายการอภิปรายของนิติพล คือบทสรุปที่ดีที่สุดของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น
“เหมือนวัคซีนคนไม่มีผิด ทั้งที่รู้ว่ายี่ห้อไหนดี แต่ก็ยัดเยียดให้เราฉีดวัคซีนห่วย รัฐบาลนี้ล้มเหลวตั้งแต่วัคซีนคนยันวัคซีนสัตว์ ถึงตรงนี้แล้วต้องถามใหม่ว่า วัคซีนคุณภาพดีเพื่อรักษาโรคลัมปีสกิน 5 ล้านโดส จากงบกลาง เมื่อไหร่จะมา?”