สรุปเหตุผล ทำไมถึงควรปรับปรุงกรมหม่อนไหมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
จากที่ เบญจา แสงจันทร์ ผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายงบประมาณของกรมหม่อนไหม ในโพสต์นี้ พรรคก้าวไกลจะมาสรุปเนื้อหาการอภิปรายว่าทำไม กรมหม่อนไหมถึงควรปฏิรูปปรับลดงบประมาณ
เหตุผลแรก
ตลาดหม่อนไหมมีขนาดเล็กมากในการตั้งส่วนราชการระดับกรม
โดยมีมูลค่าเพียง 3,200 ล้านบาทต่อปี แบ่งเป็นตลาดผ้าไหมในประเทศ 3,000 ล้านบาท ตลาดผ้าไหมส่งออกไปต่างประเทศแค่ 94 ล้านบาท ที่เหลืออีก 107 ล้านบาท เป็นการส่งออกรังไหมและเส้นไหม
ขณะที่กรมหม่อนไหมได้งบประมาณถึง 506 ล้านบาท หรือแค่กรมที่กำกับดูแล ก็มีต้นทุนคิดเป็น 1 ใน 6 ของมูลค่าตลาดหม่อนไหมทั้งหมดแล้ว
เมื่อเทียบกับตลาดสินค้าเกษตรประเภทอื่น เช่น วัว จะที่มีมูลค่าตลาดถึงกว่า 70,000 ล้านบาทต่อปี แต่เราก็ยังไม่เห็นที่จะต้องตั้งกรมวัวเพื่อดูแลวัวในประเทศ กรมปศุสัตว์สามารถดูแลได้ ไม่เห็นต้องตั้งหน่วยงานใหม่แยกออกมา
เหตุผลที่สอง
การตั้งหน่วยงานออกมาเป็นกรมใหม่ทำให้เกิดความสิ้นเปลือง
พอหน่วยงานมีสถานะเป็นกรม สิ่งที่จะตามมาคือการเปิดตำแหน่งไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งอธิบดี รองอธิบดี อีกทั้งยังต้องมีการตั้งสำนักและกองงานภายในที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับธุรการและเอกสาร รวมไปถึงการก่อสร้างอาคารสำนักงานต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด ซึ่งเรื่องนี้เป็นการสร้างภาระงบประมาณไม่จำเป็น
รายละเอียดการใช้งบประมาณที่กรมหม่อนไหมได้รับ กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ หรือ 316 ล้านบาท เป็นงบบุคลากร ทั้งงบเงินเดือนข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง ค่าทำการนอกเวลา ค่ารถประจำตำแหน่ง จนไปถึงการจ้างเหมาแม่บ้าน รปภ. ในการดูแลอาคารสำนักงาน
งบประมาณที่มีไว้สำหรับดำเนินกิจกรรมนั้นเหลืออยู่แค่ 190 ล้านบาท ซึ่งงบประมาณในส่วนนี้ หากมีการควบรวมกรมแล้ว ก็จะสามารถลดลงได้อย่างน้อยๆ 20 เปอร์เซ็นต์
เหตุผลที่สาม
โครงการที่กรมหม่อนไหมทำอยู่ มีประสิทธิภาพหรือไม่?
ในงบทำโครงการกรมหม่อนไหม 190 ล้านบาท ในจำนวนนี้
- 65 ล้าน เป็นเงินค่าอุปกรณ์สำนักงาน ค่าเช่ารถยนต์ ค่าน้ำค่าไฟ ค่าจัดอบรม จัดนิทรรศการ
- 37 ล้าน เป็นเงินค่าวัสดุการเกษตร เช่น รถแทรกเตอร์ รถไถ ที่ใช้สำหรับแปลงปลูกหม่อนของกรม เป็นงบโครงการในพระราชดำริ 15 ล้าน
- อีกประมาณ 40 ล้าน จึงค่อยเป็นงบที่เกี่ยวข้องกับการตรวจประเมินคุณภาพผ้าไหม และเป็นงบจัดซื้อท่อนพันธุ์หม่อนสำหรับแจกจ่ายให้กับเกษตรกร
เรายังเห็นโครงการที่น่าตั้งคำถาม เช่น โครงการการตลาดนำการผลิตด้านสินค้าหม่อนไหม ใช้เงินทำโครงการ 3.75 ล้านบาท แต่ตัวชี้วัดของโครงการคือมูลค่าการจำหน่ายผลิตภัณฑ์หม่อนไหมภายใต้โครงการนี้ 2.5 ล้านบาท
สรุป
ย้ำอีกครั้งว่า “เราไม่ได้เสนอให้เลิกสนับสนุนกิจการหม่อนไหม” แต่เราต้องการปรับปรุงให้หน่วยงานรัฐที่ทำหน้าที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมหม่อนไหมมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เช่น
- ปรับสถานะเป็นสำนักสังกัดภายใต้กรมอื่น เพื่อลดงบประมาณด้านธุรการเอกสารหรืออาคารสำนักงานที่ซ้ำซ้อนไม่จำเป็นลง และสามารถนำเงินส่วนนั้นไปใช้พัฒนาศักยภาพของเกษตรกรผู้เลี้ยงไหมให้ดียิ่งขึ้น
- พัฒนากิจการหม่อนไหมของไทยในด้านของการลดต้นทุนการผลิต และการหาตลาดให้กับสินค้าหม่อนไหม มากกว่าที่จะไปสอนคนให้ทอผ้า
- สนับสนุนด้านงานวิจัยและเทคโนโลยี เช่น การวิจัยเพื่อผลิตอาหารสำเร็จรูปสำหรับหนอนไหม ที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสม กระตุ้นให้หนอนไหมผลิตใยไหมที่มีคุณภาพ ดีกว่าให้ชาวบ้านปลูกต้นหม่อน แล้วค่อยเอาใบหม่อนมาเลี้ยงไหมอีกต่อหนึ่ง
- ป้องกันโรคที่เกิดขึ้นกับหนอนไหม ที่ทำให้หนอนไหมตาย หรือไม่สามารถผลิตใยไหมที่มีคุณภาพออกมาได้
แต่ในปัจจุบัน เราไม่เห็นงบประมาณสำหรับใช้แก้ไขปัญหาในส่วนนี้เลย ว่าภายใต้งบประมาณ 506 ล้านบาท ของกรมหม่อนไหม จะช่วยพัฒนาสิ่งเหล่านี้อย่างไร…