เปิดคำร้องฉบับเต็ม เรืองไกรยื่นยุบพรรคก้าวไกล!
ในการพิจารณาร่างพระราชบัญยัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมานั้น ผู้แทนราษฎรจากพรรคก้าวไกลสามารถทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมโดยการอภิปรายตรวจสอบการใช้งบประมาณของรัฐบาลอย่างเข้มข้น พร้อมทั้งชี้จุดอ่อนและทางออกของการทำงบประมาณเพื่อให้ถูกต้องแก่สถานการณ์วิกฤติของประเทศไทยด้วย
ซึ่งการพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณประจำปีดังกล่าวนั้น มีมูลค่ากว่า 3.1 ล้านล้านบาท มีหน่วยรับงบประมาณกว่า 227 หน่วย ซึ่งรวมถึงมาตรา 36 ว่าด้วยงบประมาณของส่วนราชการในพระองค์ และงบประมาณส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสภาบันพระมหากษัตริย์อีกอย่างน้อย 3.3 หมื่นล้านบาทด้วย ถือเป็นมาตรฐานปกติของ ส.ส. พรรคก้าวไกลที่จะพิจารณาตรวจสอบทุกหน่วยงานบนมาตรฐานเดียวกัน
โดยมาตรานี้ ผู้แทนราษฎรพรคก้าวไกลใช้เวลาไป 28 นาที ในการอภิปรายและพิจารณา มีข้อสงสัยที่ยังค้างคาใจอยากให้กรรมาธิการได้ตอบให้กระจ่าง แต่ถามไปอย่างไรก็ไม่มีใครตอบได้ จนสุดท้าย นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ หนึ่งในคณะกรรมาธิการได้ลุกขึ้นพูดสั้นๆ ว่า “รายละเอียดที่ฟังมาเกือบครึ่งชั่วโมง ผมเองก็ฟังกระจ่างดี รู้ว่าเถยจิตเป็นอย่างไร ไม่มีอะไรชี้แจง”
(ย้อนฟังคลิปรวมอภิปรายได้ที่ https://youtu.be/QAGoJqo159w )
“ไม่มีอะไรชี้แจง” แต่วันรุ่งขึ้นเดินไปฟ้อง กกต. ให้ดำเนินการยุบพรรคก้าวไกลเพราะล้มล้างการปกครองและอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครอง
“…ดังนั้น การกระทำของพรรคก้าวไกลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกลดังกล่าว จึงเป็นการนำงบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการในพระองค์ ของพระมหากษัตริย์ มาเป็นประเด็นในทางการเมือง โดยอ้างว่าเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพทางการเมืองที่รัฐธรรมนูญรับรองนั้น แต่เกินขอบเขตของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือพรรคก้าวไกล ไม่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์และกระบวนการที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพที่จะส่งผลเป็นการบั่นทอนทำลายหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ และสั่นคลอน คติรากฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของไทยที่ดำรงอยู่ ให้เสื่อมโทรมไป ทั้งยังเป็นการกระทำที่วิญญูชน คนไทยทั่วไปย่อมรู้สึกได้ว่าสามารถทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยที่เป็นศูนย์รวมใจของคนไทยทั้งชาติ ต้องถูกนำไปใช้เพื่อมุ่งหวังผลประโยชน์ทางการเมืองโดยไม่คำนึงถึงหลักการพื้นฐานสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียสถานะที่จะต้องอยู่เหนือการเมือง และดำรงความเป็นกลางในทางการเมือง อันเป็นจุดเริ่มต้นของการเซาะกร่อนบ่อนทำลาย เป็นเหตุให้ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง และอาจทำให้องค์พระมหากษัตริย์ถูกผู้ใดจะละเมิดก็ได้ กรณีจึงอาจเข้าลักษณะของการกระทำที่อาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (2) แล้ว ทั้งนี้ตามพยานหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พรรคก้าวไกลได้กระทำการตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (2) จึงมีเหตุที่ควรขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารราว่า สมควรจะต้องมีคำสั่งให้ยุบพรรคก้าวไกล ตามมาตรา 92 วรรคสอง หรือไม่ ต่อไป
จึงเรียนมาเพื่อขอให้ กกต. รีบดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานจากสภาผู้แทนราษฎร และรีบดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานทางเฟซบุ๊กพรรคก้าวไกล เพิ่มเติม เพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 และยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าจะต้องมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกลและตัดสิทธิกรรรมการบริหารพรรคก้าวไกล หรือไม่ โดยเร็วด้วย…”
นี่คือส่วนหนึ่งของคำร้องที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคเพื่อไทย ปัจจุบันเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นต่อ กกต. เพื่อให้ดำเนินการยุบพรรคก้าวไกลต่อไป