
“สิ่งที่พลเอกประยุทธ์กำลังทำกับกองทัพไทยนั้น ไม่ใช่การสร้างกองทัพให้ทันสมัย ไม่ใช่การสร้างทหารอาชีพ ไม่ใช่การเฟ้นหาเมล็ดพันธุ์ที่พร้อมจะเติบโตขึ้นมาเป็นนายทหารนายตำรวจที่ซื่อตรง มีคุณภาพ ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย แต่กองทัพที่ประยุทธ์กำลังสร้างและต้องการนั้น คือกองทัพที่สยบยอมต่ออำนาจของพลเอกประยุทธ์และเครือข่าย ที่สยบยอมต่อระบบปรสิตที่ตนสร้างขึ้น พลเอกประยุทธ์ต้องการสร้างนายทหารนายตำรวจที่ยึดโยงกับขั้วอำนาจของตน ยึดติดกับขนบธรรมเนียมระบบอุปถัมภ์ และพร้อมจะทำตามคำสั่งนายโดยไม่สนใจว่าจะเป็นเรื่องถูกหรือผิด”
การอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดย ส.ส. พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เผยให้เห็นถึงการล็อกสเป็กของเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง และการล็อกสเป็กคนที่พร้อมจะมารับใช้ระบอบปรสิตผ่านการคัดเลือกของโรงเรียนเตรียมทหาร
โรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งมีหน้าที่บ่มเพาะทหารและตำรวจให้รับใช้ประชาชน กลับกลายเป็นเพียงโรงเรียนบ่มเพาะคนเชื่องที่จะมาปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาและพวกพ้องในระบอบปรสิตไปแล้ว หลังจากที่มีเอกสารและคลิปเสียงการสัมภาษณ์ผู้สมัครเข้าโรงเรียนเตรียมทหารในส่วนของนายร้อยตำรวจในปี 2564 เปิดเผยว่ามีการตรวจสอบทัศนคติทางการเมืองของผู้สมัครต่อสถาบันกษัตริย์ การชุมนุม การรัฐประหาร รวมถึงทัศนคติต่อกลุ่มหลากหลายทางเพศ เพื่อให้ได้คนที่มีทัศนคติทางการเมืองตรงกับกองทัพเท่านั้น
ความแปลกประหลาดของการคัดผู้สมัครเข้าโรงเรียนเตรียมทหารในปีนี้ ซึ่งแตกต่างไปจากปีก่อนๆ ได้ปรากฏออกมาในเอกสารบันทึกข้อความเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่ระบุว่า โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ขอรายชื่อข้าราชการตำรวจปฏิบัติหน้าที่ถวายความปลอดภัยในพื้นที่ หรือ Local CAT จำนวน 50 นายและจิตอาสาพระราชทาน 904 อีก 25 นายร่วมเป็นคณะกรรมการสอบสัมภาษณ์ผู้สมัครประจำปี 2564 ซึ่งเป็นผลมาจากมติที่ประชุมเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม โดยมีผู้บัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ เป็นประธานการประชุม

Local CAT ย่อมาจาก Local Counter Assault Team นั่นคือข้าราชการตำรวจปฏิบัติหน้าที่ถวายความปลอดภัยในพื้นที่ ซึ่ง รังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกลเคยอภิปรายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีตั๋วช้างไปแล้ว
(ภาพตัวอย่างของการฝึกอบรมหลักสูตรข้าราชการตำรวจถวายความปลอดภัยหรือ Local CAT https://www.facebook.com/nbp191/posts/2147730081992866 )

(ที่มา ทวิตเตอร์ “สภ.พิบูลมังสาหาร” https://twitter.com/33Itthipon/status/1111214472394227712?s=20 )
ขณะที่ตำรวจจิตอาสา 904 ก็คือ ข้าราชการในพระองค์ 904 ที่ร่วมกันจัดโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ ซึ่งตำรวจจิตอาสา 904 ที่เพิ่งจะปรากฏในหน้าข่าวไปไม่นานมานี้ก็คือ ผู้กำกับโจ้ที่ใช้ถุงดำซ้อมทรมานผู้ต้องสงสัยคดียาเสพติดจนเสียชีวิต
(ตัวอย่างจิตอาสา 904 เป็นภาพของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนพล หรือ ‘ผู้กำกับโจ้’ รหัสประจำตัว 2A-065 โดยปัจจุบันถูกสั่งให้พ้นสภาพแล้วเนื่องจากถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการก่ออาชญากรรม )
การให้เจ้าหน้าที่ของ Local CAT และจิตอาสา 904 เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการสอบสัมภาษณ์อาจสะท้อนให้เห็นได้ว่าการคัดนักเรียนเข้าโรงเรียนเตรียมทหารนั้นมีจุดประสงค์เพื่อคัดสรรตำรวจเข้าไปถวายความปลอดภัยพระมหากษัตริย์เป็นอันดับแรก สอดคล้องกับเทปบันทึกเสียงที่เราได้รับมาจากการสอบสัมภาษณ์นักเรียนนายร้อยตำรวจดังกล่าว (โดยเราจำเป็นต้องปกปิดอัตลักษณ์ของผู้ให้ข้อมูล โดยการเผยแพร่เสียงแค่บางส่วนหรือถอดความมาเท่านั้น)
สิ่งที่เป็นปัญหาหนักเกี่ยวกับการสอบสัมภาษณ์ในครั้งนี้ คือการเพิ่มแนวคำถามในการสอบสัมภาษณ์ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า โรงเรียนเตรียมทหารกีดกันผู้สมัครที่มีทัศนคติทางการเมืองในเชิงบวกต่อผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยและการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
หากเข้าไปดูแนวทางการสอบสัมภาษณ์โรงเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพบกประจำปี 2564 ซึ่งเผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์ http://precadet64.crma.ac.th/INTV/?fbclid=IwAR2GlVtGLmOL4nnyqlOfH__VE-jlJ7kQk_mb8I9TUMteCYdDdBOx5NJaoqg ก็จะทำให้มองเห็นภาพได้ว่าการคัดเลือกในเหล่าอื่นๆ ก็คงจะไม่ต่างจากนี้มากนัก คือนอกจากการวัดความรู้วิชาประวัติศาสตร์ ความรู้เรื่องกองทัพ หน้าที่พลเมือง ศาสตร์พระราชา และโครงการพระราชดำริแล้ว ยังมีภาพประเมินทัศนคติ หมวดราชวงศ์ หมวดกองทัพบก และหมวดการเมือง
ในหมวดการเมืองนั้น กรรมการจะให้ผู้สมัครแสดงทัศนคติที่มีต่อภาพต่างๆ เช่น ภาพคณะรัฐมนตรีของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ภาพรัฐสภา ภาพการชุมนุม ภาพผู้ชุมนุมชูสามนิ้ว ภาพอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ภาพคูหาเลือกตั้ง เป็นต้น หากผู้เข้ารับการสอบสัมภาษณ์ตอบคำถามโดยมีทัศนคติสนับสนุนประชาธิปไตย จะถูกตัดสิทธิ์ทันที
“คนยุคใหม่เป็นภัยคุกคาม”
คลิปเสียงที่ถูกบันทึกไว้ระหว่างที่นายพลระดับสูงให้แนวทางการพิจารณาแก่กรรมการสอบสัมภาษณ์ว่า…
โรงเรียนนายร้อยตำรวจต้องการนักเรียนที่ไม่ค่อยสนใจการเมือง หรือมีความรู้แบบผิวเผิน ท่องจำมาจากโรงเรียนกวดวิชา โดยระบุว่า “เราต้องเตรียมการที่จะรองรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามา 2 ปีเตรียมทหาร อีก 4 ปี ทั้งหมด 6 ปี”
ส่วนคนที่สนใจการเมืองหรือเลือกข้างทางการเมืองจะถูกตัดสิทธิ์ แต่ต้องหาวิธีปรับแต่งคะแนนส่วนอื่นๆ ให้คนเหล่านี้ไม่ผ่านเกณฑ์ทางกายภาพ และที่สำคัญ นายพลระดับสูงคนนี้ยังมองประชาชนเป็นภัยคุกคามอีกด้วย โดยระบุว่า…

ฟังคลิปเสียงที่นี่
นอกจากนี้ ยังมีคลิปเสียงช่วงระหว่างการสอบสัมภาษณ์ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กรรมการสอบสัมภาษณ์มีอคติต่อการชุมนุมที่เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แก้ไขรัฐธรรมนูญและปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ หากผู้สมัครเห็นด้วยหรือพยายามเข้าใจผู้ชุมนุม ก็จะถูกตั้งคำถามไล่ต้อนต่อไป โดยเฉพาะเรื่องทัศนคติต่อสถาบันกษัตริย์ โดยมีการถามว่า มีวิธีแสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์อย่างไรบ้าง แล้วในฐานะตำรวจ จะแสดงออกอย่างไรบ้าง หากผู้สมัครขอไม่ตอบเรื่องนี้ก็จะถูกตัดคะแนนทันที นี่คือส่วนหนึ่งของการสอบสัมภาษณ์เกี่ยวกับทัศนติต่อสถาบันกษัตริย์
Q: เรามีความเห็นยังไงครับ เรามีความคิดยังไง เราเห็นรูปนี้เรามีความคิดยังไง?
Q: เมื่อวานเป็นวันอะไร?
A: วันเกิดของ ร.10 ครับ
Q:โพสต์ว่าไง? เราโพสต์ว่าอะไร?

ขณะเดียวกัน กรรมการการสอบสัมภาษณ์ยังมองเห็นผู้ชุมนุมเป็นศัตรูด้วยการนำภาพที่ผู้ชุมนุมตอบโต้ตำรวจมาถามความคิดเห็นของผู้สมัคร (ฟังคลิปด้านล่าง)
*** หมายเหตุ: คลิปนี้ตัดเสียงคำตอบของผู้สมัคร เพื่อปกป้องตัวตนของผู้สมัคร) ***
ฟังคลิปเสียงที่นี่


เลวร้ายกว่านั้น การสอบสัมภาษณ์ปีนี้ยังพยายามเฟ้นหาผู้ที่พร้อมจะทำงานรับใช้รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์โดยไม่ตั้งคำถาม และต้องการคนที่พร้อมจะหาข้ออ้างมาสนับสนุนการรัฐประหารของ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยการตั้งคำถามเกี่ยวกับความเห็นต่อการทำงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ระบาด และความเห็นต่อการรัฐประหารอีกด้วย
*** หมายเหตุ: คลิปนี้ตัดเสียงคำตอบของผู้สมัคร เพื่อปกป้องตัวตนของผู้สมัคร) ***
ฟังคลิปเสียงที่นี่
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า กองทัพภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์พยายามคัดเลือกคนที่มีแนวคิดต่อต้านประชาธิปไตย เป็นปฏิปักษ์ต่อประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อสั่งสมฐานอำนาจให้ตนเองและพวกอยู่ในอำนาจต่อไป บ่มเพาะความเกลียดชังของนักเรียนเตรียมทหาร เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นกลายไปเป็รทหารตำรวจที่พร้อมจะใช้กำลังปราบปรามประชาชนได้อย่างไม่ลังเล
***นอกจากจะไม่รับ LGBTIQ แล้ว ยังไม่รับคนที่มีทัศนคติเปิดกว้างต่อประเด็นนี้ด้วย***

นอกจากจะมีการถามถึงทัศนคติทางการเมืองแล้ว การสอบสัมภาษณ์ครั้งนี้ยังถามถึงทัศนคติต่อกลุ่มหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTIQ ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับการเป็นทหารตำรวจเลยด้วยซ้ำ โดยมีเอกสารแนวทางการสัมภาษณ์เกี่ยวกับทัศนคติต่อกลุ่มหลากหลายทางเพศออกมาหลายข้อ เช่น หากมีเพื่อนเพศเดียวกันมาบอกชอบจะทำอย่างไร หากมีลูกเป็น LGBTIQ แล้วจะทำอย่างไร สนับสนุนกฎหมายแต่งงานเพศเดียวกันหรือไม่ เป็นต้น
*** หมายเหตุ: คลิปนี้ตัดเสียงคำตอบของผู้สมัคร เพื่อปกป้องตัวตนของผู้สมัคร) ***
ฟังคลิปเสียงที่นี่
คำถามเหล่านี้ไม่เพียงแค่คัดคนที่มีความหลากหลายทางเพศออกไป อย่างที่นายพลระดับสูงคนนั้นกล่าวว่า “LGBT ห้ามเอา!” แต่คำถามเหล่านี้ยังเป็นการคัดคนที่สนับสนุนสิทธิของกลุ่มหลากหลายทางเพศออกไปด้วย เพราะหากผู้สมัครชายที่ชอบผู้หญิง ตอบว่า เขามีทัศนคติที่ดีต่อเพื่อนที่เป็นเกย์ หรือหากมีลูกเป็นเกย์ก็ไม่เป็นไร หรือเพียงสนับสนุนให้คู่รักเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนสมรสกันได้ เขาก็จะตกรอบสัมภาษณ์เช่นกัน
น่าตกใจเหลือเกินที่ในขณะที่โลกกำลังขับเคลื่อนให้กลุ่มหลากหลายทางเพศที่มีความสามารถเข้าไปทำงานในกองทัพกันได้มากขึ้น มีการตั้งกฎเกณฑ์เพื่อป้องกันการเหยียดเพศในกองทัพ กองทัพไทยกลับมีทัศนคติล้าหลัง ตามไม่ทันโลก ไม่ทันค่านิยมสากล ต้องการคนที่มีทัศนคติเหยียดเพศ มองคนไม่เท่ากันเข้าไปเป็นนักเรียนเตรียมทหาร
ตำรวจและทหารอาชีพควรจะมีหน้าที่รับใช้ประชาชน เพื่อปกป้องและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามค่านิยมสากลเป็นหลัก ดังนั้น การคัดเลือกนักเรียนที่จะเติบโตไปเป็นตำรวจและทหารในอนาคตก็ควรจะมีความรู้ความเข้าใจเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นหลัก กองทัพควรเลิกยุ่งกับความคิดเห็นต่อเรื่องการเมืองและเรื่องส่วนตัวของผู้สมัครเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร แล้วปฏิรูปการเรียนการสอนนักเรียนเตรียมทหารให้เข้าใจเรื่องการเคารพหลักการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนสากลเสียที
ในทางกลับกัน สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งข้าราชการตำรวจปฏิบัติหน้าที่ถวายความปลอดภัยในพื้นที่ Local CAT และข้าราชการตำรวจจิตอาสา 904 มาร่วมเป็นกรรมการสอบสัมภาษณ์ ทั้งเรื่องแนวทางการตั้งคำถามเพื่อคัดคนที่มีทัศนคติไม่สอดคล้องกับตนเองออกไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง เรื่องสถาบันฯ เรื่องอัตลักษณ์ทางเพศ เรื่องสมรสเท่าเทียม ฯลฯ อย่างนี้เป็นการล็อกสเป็กคน เพื่อให้เข้าไปทำงานรับใช้ใคร? แต่ที่แน่ๆ ไม่ได้รับใช้ประชาชน!