การอภิปรายไม่ไว้วางใจผ่านไปอีกครั้ง แม้สมาชิกพรรคฝ่ายค้านจะนำข้อมูลมากมายมาเปิดให้เห็นการทำงานที่ไร้ประสิทธิภาพ เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องในระบอบปรสิต แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐมนตรีคนอื่นๆ ก็ยังได้รับเสียงไว้วางใจให้ทำงานต่อไป ท่ามกลางความสาหัสของวิกฤตโรคระบาดและหุบเหวเศรษฐกิจไทยที่เพ่งมองเท่าไหร่ก็ยังหาก้นเหวไม่เจอ
เราจะจดจำ “ไม่ยอมลืมแม้แต่วินาทีเดียว” ว่าทุกข์แสนสาหัสของคนทั้งประเทศคราวนี้ ซึ่งจะยังคงทิ้งบาดแผลเรื้อรังไปอีกยาวนานกว่าจะพลิกฟื้น ไม่ว่าจะเป็นความสูญสลายของธุรกิจ มีคนตกงานจนกลายเป็นคนไร้บ้านจำนวนมาก แถวยาวเหยียดบนถนนสาธารณะรอข้าวกล่องแจก คนติดเชื้อเจ็บป่วยทรมาน ภาพเด็กๆ เคว้งคว้างเมื่อผู้ปกครองป่วยหรือเสียชีวิต ประชาชนมากมายที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของประเทศแต่เข้าไม่ถึงแม้ยาสักเม็ด อย่าว่าแต่เตียงรักษาพยาบาล บุคลากรด่านหน้าที่กรำงานหนักชนเดือนชนปี แบกความเสี่ยงติดเชื้ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อที่ในที่สุดจะถูกตัดหน้ารับวัคซีนคุณภาพจากอภิสิทธิ์ชนลี้ลับ
ที่สำคัญที่สุด อัตราการตรวจและวัคซีน หลักประกันของความเป็นความตายซึ่งควรจะเป็นบริการมาตรฐานที่มาเร็ว มีคุณภาพและมากพอ กลับเป็นได้แค่ลมปากและการทำให้ประชาชนได้แต่ตั้งตารอคอยความเมตตาปราณีที่ไม่มีจริง
ไม่ต้องพูดถึงความพลัดพรากสูญเสีย หรือน้ำตามหาศาล ความร้างไร้ไม่มีแม้แต่ที่จะนอนตายอย่างเต็มศักดิ์ศรีของมนุษย์คนหนึ่ง
ในขณะที่ความช่วยเหลือมากที่สุดที่มองเห็น คือ “ประชาชนช่วยประชาชนกันเอง”
ทั้งหมดนี้ไม่ได้มาจากแค่การระบาดของโควิด-19 เพียง 3-4 ระลอก ไม่ได้มาจากคลัสเตอร์สนามมวย คลัสเตอร์ทองหล่อ หรือคลัสเตอร์ไหนๆ ที่มีคนทำผิดจริงแต่สืบสอบให้ตายก็ไม่มีวันได้รับผิด
รวมทั้งไม่ได้มาจากแค่คนชื่อประยุทธ์ หรือคนชื่อประวิตร
แต่มันคือความเลวร้ายที่กัดกลืนประเทศไทย กินลึกมายาวนานด้วย “สังคมตั๋ว” บนฐาน “การสร้างรังขั้วอำนาจ” เส้นเรื่องของระบอบอุปถัมภ์ที่เป็นหลักประกันค้ำจุนเครือข่ายผลประโยชน์ไม่รู้จบ และแน่นอนว่า “ไม่มีประชาชนเป็นตัวตั้งในโจทย์ไหนทั้งสิ้น”
พรรคก้าวไกลชวนย้อนกลับไปอ่านบทอภิปรายไม่ไว้วางใจ 2 ครั้งแรกที่สะเทือนฟ้าสะท้านดิน จาก ส.ส. รังสิมันต์ โรม ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างนายทุนและขุนศึกของฝ่ายอำนาจนิยม ที่ร่วมกับสูบเลือดสูบเนื้อประชาชนในระบอบปรสิต อันเป็นใจความสำคัญของการอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบล่าสุดของพรรคก้าวไกล
เริ่มจาก “ป่ารอยต่อ” การอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ “นอกสภา” เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 ที่พิสูจน์ว่าการยุบพรรคอนาคตใหม่ก่อนหน้านั้นเพียงไม่ถึงสัปดาห์ รวมทั้งกลไกการทำให้เวลาการอภิปรายของฝ่ายค้านหมดและสภาปิดก่อนที่โรมจะได้อ้าปากพูด ไม่อาจหยุดยั้งการเปิดโปงกระบวนการของ มูลนิธิป่ารอยต่อ ที่มีฉากหน้าเป็นการสนับสนุนโครงการในพระราชดำริ เพื่ออนุรักษ์ป่าและสัตว์ป่าในเขตป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก
แต่ในความเป็นจริง มูลนิธิที่ตั้งขึ้นในพื้นที่กองทัพอย่างหามุมเชื่อไม่ได้ว่าเป็นแค่พื้นที่เช่าตามปกติธรรมดาแห่งนี้ คือฐานเครือข่ายของอำนาจที่ขุนศึกผูกนายทุนเข้าไว้เป็นกลุ่มก้อนแน่นหนา ขยับความยิ่งใหญ่ของอำนาจรัฐ อำนาจทุน เอื้อผลประโยชน์ให้กันและกันด้วยการที่ฝ่ายทุนเป็นฐานทุนให้อำนาจทางการเมือง ขุนศึกตอบแทนกลับด้วยสัมปทานที่สร้างกำไรมหาศาลให้นายทุนบนความสูญเสียรายได้ของประเทศนับหมื่นล้าน หรือการสนับสนุนเพิ่มมูลค่าหุ้นให้ฝ่ายทุนด้วยโครงการขนาดใหญ่ยักษ์ของรัฐอย่าง EEC การเป็นสปอนเซอร์รายใหญ่ให้รายการทีวีที่มีเรตติ้งไม่มากจากเงินธนาคารของรัฐ โยงใยไปจนถึงการคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภาซึ่งเกิดขึ้นที่มูลนิธิแห่งนี้ เสียงโหวตเลือก พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีจาก ส.ว. ที่ไม่กระเด็นไปไหนสักเสียงเดียวจึงอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญของการเห็นพ้องต้องกัน
และที่สุดของที่สุด จะปฏิเสธได้ไหม ว่าการทำรัฐประหารเมื่อ 7 ปีก่อน สำเร็จลงได้ด้วยเครือข่ายป่ารอยต่อนี้เช่นกัน
ทุกประเด็นที่ยกตัวอย่างมาในที่นี้ และแน่นอนว่ายกมาไม่หมด โรมเอ่ยชื่อบุคคลและองค์กรทุนชัดเจนพร้อมหลักฐานแวดล้อมที่เขาบอกว่าเป็นการผูกขาด กินรวบประเทศ โดยเรียกทั้งหมดนั้นว่า “ระบอบประยุทธ์ อาณาจักรประวิตร”
มาถึง “ตั๋วช้าง” การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 ต้นปีที่ผ่านมานี้เอง แม้ครั้งนี้โรมจะได้ลุกขึ้นพูดในสภา แต่ก็เป็นอีกครั้งที่กลไกมหัศจรรย์กลับมาทำงานอย่างแข็งขัน ความพยายามในการปิดปากโรมให้ได้ด้วยเกมยกมือขึ้นประท้วงคนแล้วคนเล่าจึงเกิดขึ้น ถ่วงจนหมดเวลาในขณะที่โรมยังไปไม่ถึงใจความสำคัญ
และเป็นอีกครั้งเช่นกันที่กลไกเกมโกงแบบนั้นทำงานไม่ได้เมื่อเจอคนอย่างโรม เพราะเขาเลือกที่จะจบมันอย่างสมบูรณ์ด้วยการอภิปราย “นอกสภา” ในประเด็น “ตั๋ว” ตั๋ววิเศษที่สร้างบันไดพิเศษให้นายตำรวจบางคนได้เขย่งก้าว และกระโดดข้ามหัวเพื่อนร่วมองค์กรที่มีชื่ออยู่ในตารางตามคุณสมบัติปกติตรงตามหลักเกณฑ์ แต่กลับถูก “คนมีตั๋ว” ไปนั่งกินตำแหน่งที่ควรเป็นไปตามระบบอย่างหน้าตาเฉย “ตั๋ว” ที่น่าสงสัยว่ามาในรูปแบบของหนังสือราชการหรือไม่ ส่งข้ามหน่วยงาน “ขอ” ความสนับสนุนให้นายตำรวจคนนั้นๆ ทั้งๆ ที่ตามหลัก แค่ทำหนังสือข้ามหน่วยก็เป็นไปไม่ได้แล้ว แต่สังคมอำนาจนิยมไทยๆ อาจทำได้เสมอเมื่อต้องการ เพราะมั่นใจในแบ็กอัพระดับ “ช้าง” ที่ไม่ต้องกลัวการปฏิเสธ เพราะไม่มีใครหาญกล้าปฏิเสธ
โรมยังได้เปิดประเด็นตำรวจที่ถูกคัดเลือกเข้ารับหน้าที่พิเศษถวายความปลอดภัยฯ ซึ่งมีกฎเกณฑ์การคัด มีการฝึกเฉพาะ และทันทีที่โอนย้ายเพื่อรับหน้าที่ ตำรวจเหล่านั้นจะพ้นไปจากโครงสร้าง สตช. ซึ่งความเจริญก้าวหน้าในสายงานตำรวจต้องอาศัยประวัติการทำงานในหน้าที่ ภายใต้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ “อย่างต่อเนื่อง” เมื่อปฏิเสธ สิ่งที่พวกเขาได้รับคือการถูกพรากจากครอบครัวเพื่อไปธำรงวินัยเป็นเวลายาวนานถึง 9 เดือน แน่นอนว่าไม่มีคำตอบหรือคำชี้แจงจากนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ หรือแม้แต่คนที่ควรจะต้องตอบที่สุดคือนายกรัฐมนตรีที่มีหน้าที่บังคับบัญชาสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยตรง
น่าเสียดายที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ผ่านมาไม่มีรายชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ น่าเสียดายความจริงอันน่ากระอักกระอ่วนอีกมากมายที่ยังคงถูกซุกอยู่ใต้พรมสวยหรู
นี่คือประเทศของเรา นี่คือสังคมที่เรากำลังเผชิญหน้า การถดถอยต้อยต่ำลงไปทุกวันโดยเฉพาะคุณภาพชีวิตประชาชนที่มีความเป็นความตายรออยู่ต่อหน้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติ
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ไม่มีอะไรหยุดคนแบบ รังสิมันต์ โรม ผู้เป็นเจ้าของตั๋วที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะมีได้ เพราะ ส.ส. ที่เข้าสภาอย่างถูกต้องทุกคน ล้วนกำตั๋วที่มีชื่อว่า “ตั๋วประชาชน”