ตรวจสอบต่อ พ.ร.ก. เงินกู้ 500,000 ล้าน! ส.ส. พรรคก้าวไกล ชี้รัฐบาลใช้เงินกู้ไม่ตอบโจทย์ กลไกตรวจสอบทำงานไม่ได้ เรียกร้องประธาน กมธ. ต้องมาจากฝ่ายค้าน
ส.ส. พรรคก้าวไกลร่วมเสนอญัตติ และอภิปรายสนับสนุนการตั้ง “คณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อติดตามตรวจสอบการใช้จ่ายเงินจาก พ.ร.ก. เงินกู้ 500,000 ล้านบาท” ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 9 กันยายน 2564
วรภพ วิริยะโรจน์ เป็นตัวแทนผู้เสนอญัตติของพรรคก้าวไกล และได้อภิปรายสนับสนุนการตั้งกรรมาธิการว่า คณะรัฐมนตรีได้ตรา พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน โดยปราศจากรายละเอียดของแผนงานและโครงการที่ชัดเจน การติดตามตรวจสอบการใช้จ่ายเงินกู้ในครั้งนี้จึงมีความเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้มีการใช้เงินในแผนงานและโครงการแพทย์ เป็นไปอย่างถูกต้องโปร่งใสและตรงตามวัตถุประสงค์
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มูลค่าเศรษฐกิจของประเทศไทยหายไปรวมกันแล้วกว่า 1.6 ล้านล้านบาท จากผลพวงของวิกฤตการณ์โควิด-19 ในขณะที่รัฐบาลชุดนี้กู้เงินไปแล้วกว่า 2.8 ล้านล้านบาท (รวม พ.ร.ก. เงินกู้ 2 ฉบับ และกู้ชดเชยงบประมาณประจำปีที่ขาดดุล 2 ปี) แต่กลับยังเห็นการจัดหาวัคซีนที่ล่าช้า โรงพยาบาลสนามขาดแคลน อุปกรณ์การแพทย์ขาดแคลน จนแพทย์บุคลากรหมอพยาบาลต้องมาประกาศขอรับบริจาค
“ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเงินกู้ก้อนนี้จะถูกนำไปใช้จัดหาวัคซีนและชุดตรวจ Rapid Antigen Testkit เพื่อจบวิกฤต และสามารถเปิดประเทศได้ใน 120 วัน เพราะผมไม่อยากเห็นนายกรัฐมนตรีตระบัดสัตย์ไปมากกว่านี้”
วรภพกล่าว
นอกจากนี้ สุเทพ อู่อ้น ตัวแทนปีกแรงงาน ได้ลุกขึ้นอภิปรายสนับสนุนการตั้งกรรมาธิการว่า การใช้งบประมาณด้านสาธารณสุขที่ไม่สามารถดูแลการนำวัคซีนมาฉีดให้กับพี่น้องผู้ใช้แรงงาน นั่นหมายความว่า หลายคนไม่สามารถไปทำงานในสถานประกอบการได้ ทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก
“มาตรการเยียวยารอบต่างๆ ไม่มีความมาตรฐานในการกำหนดอัตราเงินเยียวยา ยังมีปัญหาพี่น้องแรงงานจำนวนมากที่ตกหล่น ถ้ารัฐบาลใช้งบประมาณสูงขนาดนี้แล้วยังไม่สามารถกระตุ้นให้เศรษฐกิจเดินหน้า ไม่สามารถประคับประคองพี่น้องประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ แล้วจะกู้มาให้เป็นภาระของประเทศชาติ ให้ลูกหลานเราต้องมารับใช้หนี้สินกันต่อไปทำไม?”
สุเทพตั้งคำถาม
ปิดท้ายการอภิปรายโดย เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส. เขต กทม. ธนบุรี-คลองสาน-บางกอกใหญ่ ซึ่งอภิปรายสนับสนุนการตั้งคณะกรรมาธิการชุดนี้อย่างเต็มที่ โดยย้ำว่า การตั้งคณะกรรมาธิการชุดนี้ควรให้พรรคฝ่ายค้านเป็นประธาน เพื่อป้องกันไม่ให้การตรวจสอบเป็นไปอย่างล่าช้าเหมือนกรรมาธิการตรวจสอบเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท
“หลายชุมชนในเขตผมเดือดร้อน ขาดการช่วยเหลือ บางบ้านมีคน 3 รุ่น แต่คนทำงานได้มีคนเดียว ประกอบอาชีพวินมอเตอร์ไซค์ บางคนเป็นหาบเร่แผงลอย พวกเขาล้วนขาดรายได้ อาสาสมัครบางกลุ่มทนไม่ไหว รวมกลุ่มกันหาเงินบริจาคมาด้วยกันเพื่อทำกับข้าว วันละ 1,000 บาท จำนวน 2 มื้อ แจกชุมชน 5 ชุมชนรอบๆ ยังไม่นับผู้ประกอบการสถานบริการต่างๆ เช่น ฟิตเนสและสถานออกกำลังกาย นักดนตรีกลางคืน ที่ถูกปิดมากว่า 1 ปีแล้ว โดยไม่มีรายได้และไม่มีการช่วยเหลือชดเชยจากรัฐบาล”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเงินครั้งก่อนที่กู้มา 1 ล้านล้านบาท และเงินกู้อีก 5 แสนล้านบาท ที่กู้มาตั้งแต่เมื่อ 5 เดือนก่อนมันไปอยู่ที่ไหน ทำไมไม่ไปถึงมือคนที่กำลังเดือดร้อนเหล่านี้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องตั้งกรรมาธิการอีกคณะเพื่อมาตรวจสอบการใช้เงินกู้”
เท่าพิภพกล่าวทิ้งท้าย
“และผมขอนะครับ เพื่อความสง่างามของสภา ขอให้ประธานกรรมาธิการตรวจสอบการใช้เงินกู้มาจากพรรคฝ่ายค้าน เพื่อไม่ให้การทำงานถูกเตะถ่วงล่าช้าแบบที่เคยเกิดขึ้นในกรรมาธิการตรวจสอบเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่มีนายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธานกรรมาธิการ”