ร่วมลุ้น พ.ร.บ. ซ้อมทรมาน-บังคับสูญหาย จะได้เข้าสภา 15 ก.ย. นี้หรือไม่?
15 กันยายนนี้ พรรคก้าวไกลเชิญชวนประชาชนทุกท่านร่วมจับตามอง ว่ารัฐสภาจะพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. … (ฉบับกระทรวงยุติธรรม) หรือไม่ หลังจากที่หลายฝ่ายได้ต่อสู้ผลักดันกฎหมายนี้มายาวนานกว่าสิบปี จนหลายครอบครัวต้องเจ็บปวดจากการที่บุคคลที่รักถูกซ้อมทรมานหรือบังคับสูญหาย แต่ไม่สามารถเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้เลย
ในรายงานประจำปี 2562 ของคณะทำงานด้านการบังคับสูญหายโดยไม่สมัครใจของสหประชาชาติ ระบุว่า จำนวนผู้ถูกบังคับสูญหายในไทย 86 ราย ช่วงปี 2523 – 2561 ซึ่งไทยนับเป็นประเทศที่มีผู้ถูกบังคับสูญหายมากเป็นลำดับ 3 ใน ASEAN รองจากฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ซึ่งหลังการรัฐประหารปี 2557 ก็มีผู้ถูกทำให้เป็นผู้สูญหายจำนวนมาก และหลายคนเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง
วันนี้ เราชวนทุกคนมาย้อนดูเส้นทาง กว่าที่ ‘ร่าง พ.ร.บ. ป้องกันการทรมานและบังคับสูญหาย‘ จะมาจ่ออยู่ที่รัฐสภาในตอนนี้ ว่าเต็มไปด้วยขวากหนามมากมายในการทำให้กระบวนการล่าช้า ตั้งแต่ขั้นตอนการร่างกฎหมาย การแก้ไข การนำเข้าสู่รัฐสภาเพื่อพิจารณาผ่านร่าง
ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย เกิดมาจากการรวมเอากฎหมายที่ไทยควรต้องแก้ เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญ
อันที่จริง ไทยให้สัตยาบันเป็นภาคีกับอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ ตั้งแต่ตุลาคม 2550 และลงนามในอนุสัญญาคุ้มครองบุคคลจากการหายสาบสูญฯ ตั้งแต่มกราคม 2555 แล้ว แต่ไทยกลับใช้เวลายาวนานหลายปีในการร่างกฎหมาย อาจเรียกได้ว่านี่เป็นกฎหมายที่ใช้เวลาร่างนานที่สุด มีความพยายามแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาหลายรอบ แต่สหประชาชาติก็เห็นว่า กฎหมายยังไม่ครอบคลุม จึงนำกฎหมายว่าด้วยการทรมานและบังคับสูญหายมารวมกันเป็นร่างเดียว แต่ร่างกฎหมายของรัฐบาลก็ยังถูกส่งกลับไปกลับมาหลายรอบ
จนกระทั่งปี 2559 ที่จะมีการทบทวนรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนด้วยระบบ Universal Periodic Review (UPR) คณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงมีมติส่ง ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการทรมานและการบังคับสูญหายให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาในวันที่ 24 พฤษภาคม 2559 แต่หลังจากที่มีการรับหลักการในวาระ 1 ไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรคืบหน้านัก แม้ สนช. ที่จะมีมติให้พิจารณา พ.ร.บ. ให้แล้วเสร็จ ก่อนให้สัตยาบันอนุสัญญาคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ
แม้ประเทศสมาชิกสหประชาชาติกว่า 10 ประเทศจะมีข้อเสนอแนะ ในการทบทวนรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนด้วยระบบ UPR ช่วงปลายปี 2559 ให้ไทยให้สัตยาบันอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ รัฐบาลไทยก็ได้เพียงรับปากไปว่าจะให้กระทรวงยุติธรรมดูแลเรื่องนี้
ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 สนช. ตีกลับร่าง พ.ร.บ. นี้โดยให้เหตุผลว่า ร่างกฎหมายที่เสนอโดยกระทรวงยุติธรรมฉบับนี้ยังไม่ผ่านการรับฟังความเห็นให้ครบถ้วน จึงเห็นว่าควรส่งกลับไปพิจารณาให้รอบคอบและรับฟังความเห็นจากฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทย ทั้งจากมหาดไทย ตำรวจ ฝ่ายความมั่นคง ทหาร อัยการ เสียก่อน
ไม่กี่วันหลังจากที่ยูเอ็นแสดงความผิดหวังที่ไทยตีกลับร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว — วันที่ 10 มีนาคม 2560 สนช. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลสูญหาย แต่กลับไม่มีกรอบเวลาส่งมอบสัตยาบันสารให้ยูเอ็น หรือกรอบเวลาในการผ่าน พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายเลย ทำให้จนถึงขณะนี้ ไทยก็ยังไม่ได้ให้สัตยาบันว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลสูญหายเลย
พ.ร.บ. นี้เคยมีกำหนดจะเข้ารัฐสภาภายใน 8 มีนาคม 2562 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการพิจารณากฎหมาย ก่อนที่ สนช. จะหมดวาระ แต่สุดท้ายก็มีการถอนวาระออก ทั้งที่เหลือเพียงขั้นตอนที่ สนช. พิจารณายื่นร่าง พ.ร.บ. นี้ไปลงพระปรมาภิไธย ทำให้ต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ที่ขั้นตอนการรับฟังความเห็น จากนั้นก็ส่งให้ ครม. อนุมัติหลักการ ส่งให้กฤษฎีกาพิจารณาแล้วก็ส่งกลับมา ครม. อีกรอบ เพื่อส่งให้รัฐสภาพิจารณา
หลังจากมีการเลือกตั้งแล้ว ครม. ก็เห็นชอบในร่างกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม เมื่อมิถุนายน 2563 แล้วส่งให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา อีกด้านหนึ่ง คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน ซึ่งขณะนั้นมีปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่เป็นประธาน ได้ร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคม จัดทำร่าง พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. … ซึ่งกำหนดความผิดและโทษครอบคลุมกว่าฉบับของกระทรวงยุติธรรม โดย กมธ. มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ. ในวันที่ 8 กรกฎาคม 2563 เพื่อส่งเข้าบรรจุระเบียบวาระเห็นชอบของสภาราษฎรอีกร่างหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ช่วงปีที่ผ่านมา กลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆ มีเพียงการบอกให้ “รอตามคิว” ต่อไป จนหลายฝ่ายกังวลว่า ร่าง พ.ร.บ. ทุกฉบับที่ค้างอยู่นี้ อาจถูกอุ้มหายไปเสียแล้ว