
15 ปี การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
ประเทศนี้ต้องไม่มีการรัฐประหารอีก
วันนี้เป็นวันครบรอบ 15 ปี เหตุการณ์รัฐประหารเมื่อปี 2549 โดย คณะปฏิรูปการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ คปค. ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนมาเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. เป็นการเริ่มต้น “ทศวรรษที่สูญหาย” ของประเทศนี้ ผ่านการครอบงำทางอำนาจโดยการใช้ทหารมายุ่งการเมือง ซึ่งตามมาด้วยการทำรัฐประหารอีกครั้งในปี 2557 ผ่านการกดขี่ข่มเหงประชาชนของตัวเอง รวมถึงทำลายหลักการ ที่เปรียบเสมือนการเผาบ้านเพื่อไล่หนู
มาถึงวันนี้ คงเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า การทำรัฐประหารนั้นไม่ใช่ และไม่มีวันจะเป็นทางออกให้กับประเทศนี้ 15 ปีที่ผ่านไปแบบไม่มีทิศทาง ประเทศไทยของเราต้องเผชิญกับวิกฤตทางการเมืองหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งก็ส่งผลต่อไปยังเศรษฐกิจ สังคม ทำให้ประเทศนี้เหมือนหยุดนิ่งอยู่กับที่ หรืออาจจะถอยหลังกลับไปในหลายมิติ
แน่นอนว่ารัฐธรรมนูญ 40 รวมถึงผลผลิตของรัฐธรรมนูญฉบับนั้นอาจไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ถ้าปล่อยให้มีการขับเคลื่อนไปตามแนวทางประชาธิปไตย เราอาจจะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างดีก็เป็นได้ แต่เมื่อมีการทำรัฐประหารเกิดขึ้นแล้ว วันนี้ ผมเชื่อว่าคงมีคนอีกจำนวนมากเชื่อเหมือนกันกับผมว่า ต่อจากนี้ ประเทศนี้ต้องไม่มีการทำรัฐประหารอีกต่อไป
ในทุกครั้งที่มีการทำรัฐประหาร จะต้องมีผู้เสียหายที่ถูกผู้มีอำนาจกระทำการละเมิด จนไม่ได้รับความยุติธรรมอย่างที่ควรจะเป็น ตัวผมเองในช่วงเวลานั้นก็พบกับความยากลำบากเช่นกัน เนื่องจากคุณพ่อของผมได้เสียชีวิตลงในวันเดียวกันกับการรัฐประหาร ทำให้ผมซึ่งกำลังศึกษาต่ออยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ต้องรีบเดินทางกลับมายังประเทศไทย
ผมยังจำได้ดีเมื่อรู้ข่าวการรัฐประหารครั้งแรกเมื่อตอนที่เห็นฝูงชนกำลังรุมล้อมโทรทัศน์ที่สนามบิน JFK เมื่อผมเห็นภาพบนโทรทัศน์ ก็พบว่าเป็นภาพรถถังบนถนนหนทางอันคุ้นเคย จึงเข้าใจได้ทันทีว่า เกิดการรัฐประหารขึ้นแล้ว ในใจผมหนักอึ้ง รับไม่ถูกกับ 2 เรื่องใหญ่ ๆ ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นจุดจบของชีวิตพ่อที่ไม่ได้ร่ำลากัน หรือ ชีวิตของประชาธิปไตยท่ามกลางความขัดแย้งที่มีมายาวนาน
การเดินทางกลับประเทศเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะสนามบินดอนเมืองถูกทหารปิด ต้องลงที่สนามบินกองทัพอากาศ และโดนทหารมารับพร้อมรถถังเมื่อเครื่องจอด พอออกมาจากค่ายทหารได้ ก็พบว่า บัญชีธนาคารบางรายการที่ตั้งใจว่าจะนำมาใช้เพื่อเป็นค่าจัดการพิธีของคุณพ่อก็ถูกล็อกไว้ รวมถึงได้รับความยากลำบากอีกหลายอย่าง เนื่องจากก่อนจะไปศึกษาต่อ ผมได้ทำงานเป็นเป็นข้าราชการการเมืองของรัฐบาลทำงานจนถึงเดือนสุดท้ายก่อนถูกทำรัฐประหารไป ทำให้ได้รับผลกระทบโดยตรงบางส่วน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรมีใครต้องพบเจอ
อย่างไรก็ตาม ความลำบากของผมอาจไม่สามารถเทียบกันได้กับอีกหลายคนที่ต้องสูญเสียชีวิตหรือต้องพลัดพรากจากครอบครัวและคนที่รัก ที่เป็นผลมาจากการทำรัฐประหารแล้วใช้อำนาจคุกคามคนอื่น ๆ นอกเหนือจากการคุกคามโดยตรงแล้ว ก็ยังมีการเหยียดหยามน้ำใจและศักดิ์ศรีประชาชน โดยทหารฝ่ายผู้ก่อการรัฐประหาร ส่งผลให้ ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ วีรบุรุษประชาธิปไตย ต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเองเพื่อลบล้างคำสบประมาทนั้น
การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความเลวร้ายของประเทศนี้ ส่งต่อความเลวร้ายอีกครั้งผ่านการรัฐประหารในปี 2557 ซึ่งรวมแล้วก็ลากยาวมาถึง 15 ปี การรัฐประหารนั้นทำให้ประเทศของเราต้องล้มลุกคลุกคลานอย่างไร้จุดหมาย ไร้ทิศทาง ไร้ความหวัง คนรุ่นใหม่จำนวนมากแทบจะใช้ชีวิตทั้งหมดของพวกเขาอยู่ใต้เมฆหมอกอันเป็นผลผลิตของการรัฐประหารในครั้งนั้นมาตลอด
ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องช่วยกันยืนยันว่า ต้องไม่มีการรัฐประหารเกิดขึ้นอีกในประเทศนี้ ผมและพรรคก้าวไกลจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันไม่ให้มีการรัฐประหารเกิดขึ้นอีก แต่การป้องกันนั้นต้องกระทำอย่างตัวตั้งตรง พร้อมต่อสู้กับความไม่ปกติทั้งหลาย ไม่ให้มีทั้งการรัฐประหารแบบเดิมและการรัฐประหารซ่อนรูป
เราจะต้องยืนยันหลักการว่าทหารต้องอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือนที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน ผลพวงจากการรัฐประหารในรัฐธรรมนูญปัจจุบันต้องถูกลบล้างออกไป ศาลต้องห้ามรับรองความสำเร็จสมบูรณ์ของรัฐประหาร หรือรับรองความสมบูรณ์ทางกฎหมายและสถานะ ทางกฎหมายให้แก่คณะผู้ก่อการรัฐประหาร ประกาศ คำสั่ง และความผิดของการทำรัฐประหารต้องไม่มีอายุความ รัฐบาลที่มาอย่างชอบธรรมสามารถดำเนินคดีผู้ทำรัฐประหารได้ทันที นี่คือแนวทางการป้องกันการรัฐประหารที่เราสามารถยืนยันและทำได้ เพื่อที่เราจะได้มาร่วมกันสร้างประเทศนี้ขึ้นมาใหม่ไปด้วยกันครับ