D-Day 1 พ.ย. ประยุทธ์เปิด Sandbox ประเทศไทย แบบปล่อยไปตามยถากรรม
‘พิธา’ รับฟังปัญหาผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ชี้ ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์เปล่าประโยชน์ เพราะไม่ได้ทดลองมาตรการสำหรับเปิดประเทศ 1 พ.ย. นี้จึงเป็นการเปิดประเทศเพียงเพราะ ‘ประยุทธ์’ อยากให้เปิด ไม่ใช่เพราะมีความพร้อม
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล และ ประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ร่วมประชุมรับฟังปัญหาและข้อกังวลจากตัวแทนภาคธุรกิจการท่องเที่ยว เกษตรกร และประชาชนทั่วไป ถึงความกังวลเกี่ยวกับการเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย. นี้
ประชาชนหลายคนที่เข้าร่วมการประชุมที่จังหวัดกระบี่แสดงความไม่พอใจเป็นอย่างมากกับคำนึงเปิดประเทศโดยไม่มีมาตรการจัดการโควิด-19 ให้ดี เพราะที่ผ่านมา ยอดการฉีดวัคซีนของจังหวัดกระบี่ถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่นๆ
“ที่ผ่านมารัฐไม่ยอมจัดสรรฉีดวัคซีนให้กับประชาชน เพิ่งจะมาเร่งฉีดใน 3-4 วันมานี้ เพราะมีข่าวประยุทธ์กำลังจะลงมาที่จังหวัดกระบี่”
ในขณะที่เจ้าของธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กให้ความเห็นว่า รัฐบาลคิดอย่างไม่เป็นระบบ หรือหากเป็นระบบก็คือระบบที่หัวใจคือการเอื้อทุนใหญ่ แต่ละเลยประชาชนคนธรรมดา รวมถึงการที่รัฐบาลออกนโยบายโดยไม่มีการบูรณาการกับภาคส่วนต่างๆ เช่น รัฐบาลสั่งเปิดประเทศเพื่อเปิดให้มีการท่องเที่ยวแต่กรมอุทยานไม่สนใจสั่งปิดเกาะ “บ้านเรามันเป็นเผด็จการรวมศูนย์ นายกฯ นึกอะไรได้ก็พูด พูดไปเรื่อยแต่ขาดความรู้และวิสัยทัศน์ ไม่มีการบูรณาการอย่างที่ควรจะเป็น”
เจ้าของธุรกิจอีกรายกล่าวว่า การพักหนี้ที่ได้รับจากธนาคารเอกชนก็เป็นเพียงการพักชำระหนี้ แต่ดอกเบี้ยยังเดินต่อไป Soft Loan ของรัฐบาลก็เป็นเพียงการต่อสายป่านสร้างหนี้เพิ่มเท่านั้น ยังไม่มีความมั่นใจใดๆ ว่านักท่องเที่ยวจะกลับมาโดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลสร้างกฎระเบียบยิบย่อยสำหรับการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก
“เมื่อวานเห็นข่าวรัฐบาลอุ้มซีพีแล้วเราก็อดน้อยใจไม่ได้ พวกเขาสุขสบายอยู่แล้วในขณะที่เรากำลังจะอดตาย ทำไมถึงไม่เห็นอกเห็นใจกันบ้าง”
พิธา กล่าวว่า รัฐบาลที่มีหน้าที่บริหารประเทศ จึงควรเป็นผู้ที่มีความคิด มีวิสัยทัศน์ เข้าใจถึงความเดือดเนื้อร้อนใจของประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศ
วิกฤตโควิดทำให้เราเห็นได้ชัดระหว่าง รัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์และรัฐบาลที่ไม่มีวิสัยทัศน์ รัฐบาลที่ถือประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งและรัฐบาลที่ถือประโยชน์ของนายทุน ขุนศึก ศักดินาเป็นที่ตั้ง
หากเรามีรัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์ ตอนเราเปิด sandbox เราจะได้ทดลองรูปแบบวิธีการป้องกันและอยู่ร่วมกับโควิดในรูปแบบต่างๆ เพราะตอนนี้วิธีการตรวจโควิดไม่ได้มีแค่การตรวจแบบ PCR หรือ ATK เพียงอย่างเดียวอีกแล้ว ยังมีวิธีการตรวจด้วยลมหายใจอย่างที่รัฐบาลสิงคโปร์ใช้อยู่ตอนนี้ หรือการตรวจด้วยน้ำลายอย่างเช่นตอนที่รัฐบาลญี่ปุ่นจัด Tokyo Olympics
“หากเราใช้วิธีการตรวจด้วยน้ำลาย โรงแรมที่มี 5 ชั้น มีคนพักอยู่ 100 คน อาจจะใช้วิธีการตรวจด้วยน้ำลายแบบกลุ่ม (Pool Saliva Covid Test) คือนำน้ำลายของคนทั้งชั้นมารวมกันเพื่อตรวจเพียงครั้งเดียว แล้วชั้นไหนที่พบว่ามีคนติดโควิด เราก็ตรวจด้วย ATK หรือ PCR แยกเฉพาะชั้นนั้นๆ อย่างละเอียดอีกที ถ้าทำได้อย่างนี้เราก็ไม่ต้องตรวจ 100 ครั้ง แต่ตรวจเบื้องต้นเพียงแค่ 5 ครั้งเท่านั้น ประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณไปได้อีกมาก”
“การเปิดภูเก็ต sandbox ที่ผ่านมาจึงเป็นอะไรที่น่าเสียดายมากๆ เราไม่ได้ทดลองอะไรเลย เป็นการเปิด sandbox ที่ไร้วิสัยทัศน์ เป็นการเปิด sandbox แบบตามยถากรรม”
พิธากล่าวเสริมต่อว่า พรรคก้าวไกลยืนยันว่าเราต้องเปิดประเทศ แต่คำถามคือเราพร้อมแล้วหรือยัง การที่คุณประยุทธ์กำลังมัดมือชกคนทั้งประเทศเพียงเพราะตนเองไม่อยากผิดคำพูด ที่ตอนแรกพูดว่าจะฉีดให้ได้ 50 ล้านโดสก่อนเปิดประเทศ แต่สุดท้ายก็ฉีดไม่ถึง อย่างจังหวัดกระบี่ มีผู้ได้รับวัคซีนเข็มแรกเพียง 60% และเข็มที่สองเพียง 30% เช่นนี้คือเราพร้อมแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่?
“ที่น่าเป็นห่วงไปมากกว่านั้น คือในขณะที่คุณประยุทธ์กำลังสั่งเปิดประเทศ กระบี่ที่เป็นจังหวัดท่องเที่ยวแต่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อยกระดับทางการแพทย์เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโควิดเพียง 1.7 ล้านบาท ผมไม่แน่ใจจริงๆ ว่ารัฐบาลเอางบไปไหน ไปอุ้มใคร แต่ที่เห็นได้ชัดๆ ตอนนี้คือไม่ใช่ประชาชนแน่ๆ”
พิธากล่าวทิ้งท้าย