กางเช็คลิสต์ จวกประยุทธ์เปิดประเทศแบบ “ขายผ้าเอาหน้ารอด”
นายแพทย์ย์วาโย อัศวรุ่งเรือง แถลงข่าวถึงกรณีที่รัฐบาลประกาศเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ โดยมี 3 ข้อกังวล และ 3 ข้อเสนอต่อรัฐบาล:
เรายืนยันว่าการเปิดประเทศเป็นสิ่งที่ทุกรัฐบาลของทุกประเทศทั่วโลก “ต้องทำ” แต่ก่อนที่จะเปิดนั้นต้องมีหลายเรื่องที่รัฐบาลต้องเตรียมการและทำให้เสร็จเรียบร้อยก่อน คือ…
1. ปริมาณผู้ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม ตัวเลขอยู่ที่ประมาณ 40% ของประชากร แต่สิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาคือเป็นตัวเลขจริงและเพียงพอต่อการเปิดประเทศหรือไม่ เพราะจำนวนผู้ได้รับวัคซีน 40% ได้นับรวมผู้ฉีดวัคซีนชนิดเชื้อตายทั้งสองเข็มไปด้วย แต่มีหลักฐานจำนวนมากที่บ่งชี้ถึงประสิทธิภาพของวัคซีนชนิดนี้ว่าอาจไม่เพียงพอต่อการต่อกรกับเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าที่กำลังระบาด อาจารย์หมอ นักวิชาการและรัฐบาลก็เห็นพ้องตรงกัน
นั่นจึงเป็นที่มาของการเกิดการฉีดวัคซีนแบบสูตรไขว้และวัคซีนเข็ม 3 ดังนั้น ตัวเลข 40% จึงมีผู้ได้รับวัคซีนเชื้อตายสองเข็มอยู่ด้วย ขณะเดียวกันในกรณีของการฉีดวัคซีนสูตรไขว้ก็ยังไม่ปรากฏหลักฐานเชิงประจักษ์ที่หนักแน่นเพียงพอว่าใช้ได้จริง นับจากที่ตนอภิปรายในสภามาจนถึงปัจจุบัน ปรากฏแค่หลักฐานเป็นสไลด์จากโรงเรียนแพทย์บางแห่งเป็น 4-5 แผ่น เท่านั้น
ดังนั้น ตัวเลขของประชากรที่มีภูมิคุ้มกันจึงอาจยังไม่ถึง 40% และยังมีคำถามว่าตัวเลขเพียงเท่านี้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่แล้วหรือไม่? คำตอบคือ ‘ยัง’
2. นักท่องเที่ยวที่เข้ามา แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ประเทศกลุ่มแรกเข้าไปพื้นที่ใดก็ได้ ส่วนกลุ่มที่ 2 คือประเทศที่เข้ามาได้เฉพาะ 17 จังหวัดแซนด์บ็อกซ์ที่ลดระยะเวลาการกักตัวจาก 14 เหลือ 7 วัน โมเดลนี้ แม้รัฐพยายามจะป้องกันเต็มที่ด้วยการให้ตรวจ RT-PCR ทั้งก่อนเดินทางและเมื่อมาถึงไทย แต่ยังมีความเสี่ยงแน่นอน เพราะการที่ผลตรวจจะขึ้นต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 วัน ซึ่งความเสี่ยงครั้งนี้ก็คือชีวิตและอนามัยของคนไทยทุกคน
3. รัฐบาลอิงตัวอย่างจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์เป็นเหตุผลในการเปิดประเทศ แต่ผลประกอบการของภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ก็ไม่ได้สำเร็จถึงเป้าหมายเท่าที่ควร จากคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยว 100,000 ราย ตอนนี้ได้แค่ประมาณ 40,000 ราย ปัญหาก็คือกระทั่งในยอดนี้ยังมีคำถามว่าเป็นตัวเลขจริงหรือไม่ เพราะท้ายที่สุด มีจำนวนมากเป็นคนไทยที่กลับเข้ามา แต่ไม่ต้องการเข้ากักตัวที่ State Quarantine เลยมาลงที่ภูเก็ตแทน จึงไม่ใช่มรรคผลในการดึงต่างชาติเข้ามา
“เมื่อนำโมเดลภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์มาใช้ในสถานการณ์ที่การฉีดวัคซีนยังไม่ถึงไหน ผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังอยู่ที่ 7,000-8,000 รายต่อวัน ซึ่งยังไม่ใช่สถานการณ์ที่ปกติ และจะต้องไม่ทำให้ภาวะที่ยังเป็นวิกฤตกลายเป็นความเฉยชา ซึ่งตัวเลขนี้ยังไม่ใช่ตัวเลขจริง ยังมีตัวเลขจากการตรวจ ATK ที่ไม่ถูกรวมอีกหลายพันรายต่อวัน ซึ่งในบางจังหวัดยังพบการติดเชื้อแบบพุ่งสูงที่สุดเท่าที่มีมา เป้าหมายของรัฐบาลคือการเปิดประเทศให้ได้เป็นเรื่องถูกต้อง แต่สถานการณ์ตอนนี้อาจสวนทางกับหลักการเปิดประเทศอย่างรัดกุม และยังน่ากังวลอย่างมากที่รัฐบาลจะเปิดประเทศด้วยเหตุผลเพียงเพื่อแค่ปกป้องบางคนที่ลั่นวาจาว่าจะเปิดใน 120 วัน นี่จึงเป็นการเอาชีวิตและอนามัยของประชาชนมาเสี่ยงเพื่อศักดิ์ศรีใครบางคนหรือไม่”
สำหรับข้อแนะนำ นายแพทย์วาโยกล่าวว่าเนื่องจากเชื่อว่า ไม่ว่าอย่างไรรัฐบาลก็จะเปิดประเทศอยู่ดี และเราไม่ได้คัดค้านการเปิดประเทศ จึงมีข้อแนะนำก่อนการเปิดประเทศคือ หลังจากนี้จะต้องเร่งฉีดวัคซีนให้ได้อย่างน้อยวันละ 1,000,000 โดส เพื่อให้ทันภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ ให้ประชากรมีภูมิคุ้มกัน 70-80% เพราะหลังจากนั้นทราบว่าจะเริ่มเปิดพรมแดนทางเท้า จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาบ้างแล้ว จะต้องสู้ด้วยการเร่งฉีดวัคซีน ต้องเลิกทำงานแบบเช้าชามเย็นชามหรือทำแบบรัฐราชการได้แล้ว เราเคยผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายมาแล้วช่วงหนึ่ง จำนวนคนไข้เต็มไอซียู เครื่องช่วยหายใจและบุคลากรทางการแพทย์ทำงานกันแน่นไปหมด ต้องใช้ข้อมูลเหล่านี้มาศึกษาและต้องคิดถึงกรณีที่เลวร้ายที่สุด (Worst-case scenario) เพื่อเตรียมความพร้อมทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้ และต้องเลิกมองสถานพยาบาลเอกชนเป็นศัตรูของรัฐ ในภาวะวิกฤตจะต้องดึงมาประกบพันธกิจของรัฐด้วย
“สุดท้ายคือตัวนายกรัฐมนตรีที่ต้องแก้ไขตัวเอง เพื่อให้ประชาชน ผู้ประกอบการ และชาวต่างชาติเห็นถึงความหนักแน่น จริงจัง ไม่เช้าชามเย็นชาม ลักกะปิดลักกะเปิด เพราะผู้ประกอบการมีความกังวล เนื่องจาการเปิดธุรกิจต้องลงทุน ต้องสต็อกของ ต้องจ้างคน ต้องทำสัญญา แต่ถ้าท่านบอกว่าเปิดแล้วมีปัญหาก็ปิด มันก็แค่ขายผ้าเอาหน้ารอดจากที่ลั่นวาจาไว้หรือเพื่อกู้ศักดิ์ศรีตัวเองเท่านั้น แต่ไม่ส่งผลให้กระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะเขาไม่กล้าเปิด ท่านต้องเปลี่ยนตัวเองให้หนักแน่น และดำเนินนโยบายอย่างรัดกุมที่สุด”
นายแพทย์วาโยระบุ
ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงตัวอย่างเนื้อหาส่วนหนึ่งที่พรรคก้าวไกลตั้งประเด็นขึ้นมา เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาเราได้ติดตามประเด็นต่างๆ ในสังคมจากการเดินทางพบปะพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ก็พบว่ามีปัญหาต่างๆ มากมาย รวมทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการบริหารจัดการโควิด ดังนั้นเมื่อเปิดประชุมสภา พรรคก้าวไกลจะนำเรื่องต่างๆ เสนอต่อที่ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพื่อร่วมกันเข้าชื่อเปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ต่อไป