แอสตราฯ ต้องมาให้ครบ ! เปิด 5 ข้อสั่งการจาก ‘วิโรจน์’ ถึง ‘ประยุทธ์’ ทวงสัญญาวัคซีน หยุดชิโนแวค สั่ง mRNA สู้เดลต้า เร่งตรวจเชิงรุกด้วย Rapid Antigen Test พร้อมหนุน มาตรการ Home Isolation
ในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ของพรรคก้าวไกล วิโรจน์ ลักขณาอดิศร กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ประชาชนได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส มีประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมากอยู่ทุกวัน เด็กหลายคนต้องเป็นกำพร้า เด็กหลายคนต้องออกจากโรงเรียนสูญเสียอนาคต หลายคนต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว ทั้งหมดล้วนมาจากความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ภายใต้ความไร้สติปัญญาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องสั่งการ พร้อมกับเรียกร้อง ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เร่งดำเนินการ ตามที่ได้สั่งการไว้ ดังต่อไปนี้
1
การบริหารจัดการวัคซีน
- 1.1. ใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงด้านวัคซีน พ.ศ. 2561 ในการบังคับให้ AstraZeneca Thailand ส่งมอบวัคซีนให้เป็นไปตามแผนการส่งมอบเดือนละ 10 ล้านโดส ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขที่รัฐบาลอุดหนุนให้กับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ 600 ล้านบาท ตามหนังสือที่ นร 1106/(คกง.) 207 เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 17/2563 ลงวันที่ 24 ส.ค. 63
- 1.2 ให้รัฐบาลปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ และสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ในการพยายามอย่างสูงสุด เร็วที่สุด ในการจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลต่อเชื้อสายพันธุ์เดลต้า และเชื้อกลายพันธุ์ต่างๆ เช่น วัคซีนชนิด mRNA และวัคซีนชนิด Viral Vector มาแทนวัคซีน Sinovac โดยสำนักงานอัยการสูงสุด ได้แจ้งมาแล้วว่า ใช้เวลาในการตรวจสัญญาเพียงแค่ 3-5 วันเท่านั้น ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการเซ็นสัญญาเพื่อจัดหาวัคซีน mRNA ให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน พร้อมกับเปิดสัญญาให้ประชาชนได้ร่วมตรวจสอบ
- 1.3 ยุติการสั่งซื้อวัคซีน Sinovac จนกว่าจะมีผลการศึกษาวิจัยที่ตีพิมพ์อย่างเป็นทางการ ที่ยืนยันในประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของวัคซีน Sinovac ต่อเชื้อสายพันธุ์เดลต้า และเชื้อกลายพันธุ์ต่างๆ
- 1.4 เปิดเผยสัญญา และเงื่อนไขข้อตกลงการสั่งซื้อวัคซีน ที่รัฐบาลได้ทำไว้กับ AstraZeneca Thailand และ Sinovac ตลอดจนมติ ครม. ที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาวัคซีนทั้งหมด อย่างโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมตรวจสอบ
- 1.5 ให้รัฐบาลเร่งจัดฉีดวัคซีนเสริมภูมิให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า เพื่อลดอัตราการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ลง และดำรงขีดความสามารถของระบบสาธารณสุข ที่มีหน้าที่สำคัญในการดูแลรักษาประชาชนผู้ติดเชื้อ
- 1.6 เร่งปรับปรุงระบบฐานข้อมูลการลงทะเบียนจองคิวฉีดวัคซีน ให้เชื่อมต่อกับระบบฐานข้อมูล MOPH IC ของกระทรวงสาธารณสุข พร้อมกับปรับปรุงสูตรในการกระจายวัคซีนใหม่ ที่พิจารณาถึงสถานการณ์การระบาด ความเสี่ยงต่อการระบาด และขีดความสามาถของระบบสาธารณสุขของจังหวัดต่างๆ เพื่อให้การกระจายสต๊อกวัคซีนดำเนินไปอย่างเป็นธรรม และแก้ปัญหาการเลื่อนฉีดวัคซีน ที่ปัจจุบันมีประชาชนเป็นจำนวนมากถูกลอยแพ และยังไม่ทราบกำหนดวันนัดหมายใหม่
2
การบริหารจัดการเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ของระบบสาธารณสุข
และการดูแลชีวิตของประชาชน
- 2.1 มาตรการการกักตัวรักษาตนเอง (Home Isolation) ได้เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการไปก่อนหน้านี้หลายครั้ง ยังคงต้องเน้นย้ำให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ เพื่อให้ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการเบาบาง และพักอาศัยตามลำพัง หรือแยกออกจากบุคคลในครอบครัวได้ สามารถกักตัวรักษาตนเองที่บ้านได้ โดยมีระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ที่มีการติดตามอาการ แพทย์สามารถสั่งจ่ายยา และมีระบบในการจัดส่งยาให้กับผู้ป่วยถึงบ้าน มีระบบติดต่อฉุกเฉิน (Emergency Call) เพื่อรับผู้ป่วยที่อาการหนักขึ้นมารักษาตัวที่โรงพยาบาล และมีระบบจัดส่งอาหาร (Food Delivery) ให้กับผู้ป่วยตลอดระยะเวลาที่กักตัวรักษาตนเองที่บ้าน
- 2.2 พิจารณาอนุญาตให้ผู้ป่วยที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาลที่ยังไม่ครบระยะเวลา 14 วัน แต่ไม่มีอาการ หรือมีอาการเบาบาง ในกรณีที่เข้าเงื่อนไขที่สามารถกักตัวรักษาตนเองได้ ให้กักตัวรักษาตนเอง เพื่อจัดสรรเตียงให้กับผู้ป่วยที่มีอาการปานกลาง และอาการหนัก
3
ปฏิรูปการตรวจเชิงรุก
รัฐบาลควรเร่งตรวจเชิงรุกด้วย Rapid Antigen Test พร้อมกับอนุญาตให้ประชาชนได้เข้าถึงชุดตรวจที่ผ่านมาตรฐาน อย. เพื่อตรวจหาเชื้อด้วยตนเอง เพื่อแยกผู้ติดเชื้อมารักษา สกัดกั้นการระบาด รัฐบาลควรมีบทเรียนได้แล้ว จากทั้งกรณีวันสงกรานต์ และล่าสุดการประกาศปิดแคมป์คนงานล่วงหน้า จนวันนี้มีการแพร่เชื้อไปยังวงกว้างถึง 32 จังหวัด
ถ้ารัฐบาลใช้มาตรการกึ่งล็อกดาวน์ แต่ไม่มีการตรวจเชิงรุก ไม่มีการดำเนินมาตรการในการจำกัดการเคลื่อนย้ายประชากรอย่างจริงจัง จะทำให้มาตรการกึ่งล็อกดาวน์สูญเปล่า ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์การระบาดได้ กิจการร้านค้าที่ถูกปิดก่อนหน้า ก็จะถูกปิดลืมแบบลากยาวไปเรื่อย ได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัส
4
เยียวยาอย่างเป็นธรรม
รัฐบาลทราบอยู่แล้วว่า การจัดฉีดวัคซีนที่ล่าช้านั้นมีมูลค่าความเสียหายสูงถึงเดือนละ 200,000 ล้านบาท ซึ่งคุณอนุทิน ก็ได้ทำหนังสือแจ้งให้ พล.อ.ประยุทธ์ ทราบด้วยตัวเอง ดังนั้น การที่รัฐบาลปล่อยปละละเลย จนเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงแก่ประชาชน รัฐบาลต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ประกอบกับที่ผ่านมา ตั้งแต่กรณี สนามมวย คณะ VIP บ่อนการพนัน การลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย การลักลอบการค้าแรงงานต่างชาติ ล้วนเป็นการละเลยของรัฐบาลทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจะต้องเยียวยาให้กับประชาชนทั้งที่เป็นแรงงานในระบบ และแรงงานนอกระบบอย่างเป็นธรรม ด้วยเงินสด แบบถ้วนหน้า หากเทียบกับโครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” ซึ่งสถานการณ์วันนี้หนักกว่ามาก ประชาชนจึงควรได้รับเงินชดเชยไม่ต่ำกว่าเดือนละ 5,000 บาท รวมทั้งชดเชยความเสียหายให้กับผู้ประกอบกิจการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ทั้งการยกเว้นค่าน้ำ ค่าไฟ และชดเชยค่าเช่าสถานที่ โดยให้จ่ายชดเชยตามจริง โดยไม่เกินสัดส่วนหนึ่ง เช่น ร้อยละ 20 ของรายได้ ณ เดือนก่อนที่จะมีการระบาดระลอกที่ 3 เป็นต้น สำหรับร้านค้า หรือกิจการที่ถูกปิดไปก่อนหน้านี้ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลชดเชยย้อนหลังด้วย
5
กางข้อกำหนดให้ชัดและเป็นขั้นบันได
ขอเรียกร้องให้รัฐบาลกำหนดหลักเกณฑ์ในการล็อกดาวน์ และผ่อนคลาย โดยคำนึงถึงสถานการณ์การติดเชื้อ และขีดความสามารถของระบบสาธารณสุขในแต่ละพื้นที่ แบบเป็นขั้นบันได เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงสถานการณ์ และวางแผนรับมือด้วยตนเองส่วนหนึ่งได้ และมีส่วนร่วมกับรัฐบาลในการคลี่คลาย และบรรเทาสถานการณ์การแพร่ระบาดด้วย
ที่ประชาชนจดจำได้ ก็คือ รัฐบาลไทยอุดหนุนเงิน 600 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชน ให้กับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตวัคซีนชนิด Viral Vector ให้กับประเทศไทย โดยหนึ่งในเงื่อนไขที่ปรากฎ ในหนังสือที่ นร 1106/(คกง.) 207 เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 17/2563 ลงวันที่ 24 ส.ค. 63 ระบุไว้ชัดว่า
“… เพื่อให้ประเทศไทยได้รับสิทธิในการซื้อวัคซีนที่ผลิตโดยผู้ผลิตในไทยเป็นอันดับแรกตามจำนวนความต้องการ … และวัคซีนที่เหลือบริษัท AstraZeneca วางเป้าหมายในการกระจายให้กับประเทศอื่นในภูมิภาคนี้…”
ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 25 ส.ค. 63 ก็มีมติ ครม. อนุมัติงบกลาง ของงบประมาณประจำปี 63 อุดหนุนให้กับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด
“ประเทศไทยมีความชอบธรรมที่จะได้รับวัคซีนจาก AstraZeneca Thailand เดือนละ 10 ล้านโดส ส่วนที่เหลืออีก 5-6 ล้านโดส AstraZeneca Thailand จึงสามารถนำไปส่งออกไป การที่ AstraZeneca Thailand จะส่งมอบให้กับประเทศไทยเพียงแค่ 5 ล้านโดสต่อเดือน เป็นการไม่ยุติธรรมต่อประชาชนผู้เป็นเจ้าของเงิน 600 ล้านบาท ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลต้องเปิดเผยสัญญาระหว่างรัฐบาลไทยกับ AstraZeneca Thailand ว่ามีเงื่อนไขนี้บรรจุอยู่หรือไม่ ถ้าไม่มีเท่ากับว่ารัฐบาลเอาเงินภาษีของประชาชน 600 ล้านบาท ไปอุดหนุนเอกชน โดยไม่ได้ทำตามเงื่อนไขตามที่ได้แจ้งให้ประชาชนทราบ ซึ่งหากไม่สามารถชี้แจงได้ อาจเข้าข่ายการทุจริตต่อหน้าที่อย่างร้ายแรง”
สามารถติดตามรายละเอียดข้อสั่งการและการแถลงข่าวทั้งหมด ได้ที่นี่
https://www.facebook.com/wirojlak/photos/a.101274334857876/327704688881505/
รับชมไลฟ์สดการแถลงข่าวได้ที่นี่ https://youtu.be/XWWpuDEAwLc