‘วิโรจน์’ แนะ ศธ. ปรับการสอนออนไลน์ลดความความเหลื่อมล้ำ – ลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง
ต้องยอมรับว่า ปัจจุบัน สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รุนแรง ยืดเยื้อ ยาวนาน และมีความเป็นไปได้สูงว่าการระบาดของโรคยังคงต้องทอดยาว ในระดับที่ไม่สามารถวางใจได้ ต่อไปอีกหลายเดือน ท่ามกลางเสียงคร่ำครวญของนักเรียนทั่วประเทศที่ไม่อาจทนการเรียนออนไลน์ได้อีกต่อไป
การเรียนการสอนออนไลน์นั้นทำให้พัฒนาการการเรียนรู้ของนักเรียนลดลง โดยผลการศึกษาของ รศ.ดร.วีระชาติ กิเลนทอง พบว่า ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เด็กปฐมวัยมีระดับความพร้อมของการเรียนรู้ถดถอยลงประมาณ 0.32-0.39 ปี นอกจากนี้ ผลการสำรวจของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ยังพบว่า ร้อยละ 70 ของเยาวชน (อายุ 15-19 ปี) มีความเครียดและความวิตกกังวลในด้านต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ ข้อมูลจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคเพื่อการศึกษาพบว่าในปีการศึกษา 2563 คาดว่าจะมีจำนวนนักเรียนหลุดออกระบบการศึกษา (เฉพาะปีที่มีการข้ามช่วงชั้น) ประมาณ 57,500 คน โดยมีสาเหตุหลักมาจากฐานะเศรษฐกิจของครัวเรือน และในปีการศึกษา 2564 นี้ กองทุนเพื่อความเสมอภาคเพื่อการศึกษาคาดว่า จำนวนเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาจะมีประมาณ 65,000 คน
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล มีข้อเสนอแนะต่อกระทรวงศึกษาธิการว่า กระทรวงศึกษาธิการ ควรปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนแบบออนไลน์ เพื่อให้มีความเหมาะสมต่อการเป็นมาตรการในระยะยาว และตอบโจทย์กับปัญหาความเหลื่อมล้ำได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น
1) ปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนเป็นกรณีเฉพาะ
ปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนโดยให้สอนออนไลน์ เฉพาะวิชาหลักเท่านั้น ได้แก่ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และวิทยาศาสตร์ ขณะที่วิชาอื่นๆ ที่ไม่เหมาะกับการเรียนแบบออนไลน์ เช่น สังคมศึกษา ศิลปะ ดนตรี พลศึกษา สุขศึกษา การงานอาชีพ พระพุทธศาสนา หน้าที่พลเมือง ลูกเสือเนตรนารี และเนื้อหาวิชาที่เกี่ยวข้องกับการทดลองในห้องปฏิบัติการ และการฝึกปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายอาชีวศึกษา ให้พิจารณาพักการเรียนการสอนไว้ก่อน แล้วให้ปรับรูปแบบการเรียนการสอน ให้อยู่ในรูปแบบที่บูรณาการวิชาเหล่านี้เข้าด้วยกันในรูปแบบกิจกรรม แล้วจัดการเรียนการสอนที่โรงเรียน เมื่อโรงเรียนสามารถเปิดได้
ส่วนนักเรียนที่เรียนในระดับชั้นที่เป็นปลายช่วงชั้น ที่ไม่สามารถเลื่อนการเรียนการสอนได้ อาจจำเป็นต้องเรียนแบบออนไลน์ ก็ควรปรับการเรียนการสอนให้อยู่ในรูปแบบบูรณาการหลายวิชาเข้าด้วยกัน เพื่อลดเวลาเรียนลง
2) ลดการบ้านที่เป็นภาระแก่นักเรียนและผู้ปกครอง
กระทรวงศึกษาธิการ ควรมีออกประกาศอย่างจริงจัง เพื่อให้โรงเรียนจำกัดการสั่งการบ้านและรายงาน ที่เป็นภาระแก่นักเรียน โดยการบ้านควรมีเฉพาะในวิชาหลักเท่านั้น อีกทั้งไม่ควรสั่งการบ้านที่เป็นภาระแก่นักเรียน และไม่ตรงวัตถุประสงค์การเรียนรู้ อาทิ การให้นักเรียนถ่ายคลิปการเดาะลูกตระกร้อ ถ่ายคลิปการรำต่างๆ ซึ่งเป็นภาระแก่พ่อแม่ ผู้ปกครองเป็นอย่างมาก
3) ปรับเปลี่ยนรูปแบบการประเมินผลการเรียน
ควรปรับเปลี่ยนรูปแบบการประเมินผล โดยใช้การสอบกับวิชาหลักเท่านั้น เช่น คณิตศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และวิทยาศาสตร์ ส่วนวิชาอื่นๆ ที่ไม่ได้พักการเรียนเอาไว้สอนในเทอมหน้า ให้ใช้การประเมินผลด้วยวิธีอื่น เช่น การตอบคำถามท้ายคาบ การมีส่วนร่วมในชั้นเรียน หรือวิธีการอื่นๆ ที่ไม่ใช่การสอบและการมอบหมายรายงาน ที่เป็นสร้างภาระให้กับนักเรียน
4) จัดทำสื่อการเรียนรู้กลางที่มีคุณภาพ
กระทรวงศึกษาธิการ ควรจัดทำสื่อการเรียนรู้กลางที่มีคุณภาพ พร้อมเอกสารประกอบการเรียนการสอนที่ครบถ้วน ในทุกรายวิชา ทุกระดับชั้น ที่นักเรียนทุกคนทั่วประเทศ สามารถใช้ในการเรียนรู้ด้วยตนเองได้ เพราะต้องยอมรับว่า ปัจจุบันโรงเรียนที่มีเงินทุนสนับสนุน ก็สามารถพัฒนาสื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพได้ แต่จะจำกัดให้แต่นักเรียนของตนเท่านั้น ที่จะเข้าถึงสื่อการเรียนรู้นั้นได้ สำหรับสื่อการเรียนรู้ DLTV และ DLIT ที่มีอยู่ ก็ไม่มีคุณภาพที่มากพอ
นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการยังควรจัดสรรงบประมาณ เพื่อจัดซื้อแท็บเล็ต พร้อมซิมอินเทอร์เน็ต สำรองไว้จำนวนหนึ่ง ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อจ่ายแจกให้กับนักเรียนที่ขาดแคลน ได้ใช้เรียนแบบออนไลน์ อย่างเท่าเทียมกัน รวมทั้งจัดสรรงบประมาณรายหัวใหม่ โดยเพิ่มเติมค่าใช้จ่ายด้านอุปกรณ์การศึกษา และอาจโอนเงินในส่วนของค่าชุดนักเรียนให้มาเป็นค่าอุปกรณ์ทางการศึกษาแทน เพื่อให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง สามารถนำเงินดังกล่าวไปจัดซื้อแท็บเล็ต พร้อมกับชำระค่าอินเตอร์เน็ตได้
5) จ่ายเงินอุดหนุนโรงเรียน เพื่อเป็นค่ายังชีพของนักเรียน
ต้องยอมรับว่า เงินเยียวยานักเรียน 2,000 บาท เป็นเพียงเงินเยียวยาเบื้องต้นเท่านั้น ในสถานการณ์โรคระบาด มีการคาดการณ์ว่า มีนักเรียนกว่า 100,000 คนกำลังประสบกับภาวะทุพโภชนาการ ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอหรือไม่ได้สัดส่วน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กในระยะยาว เนื่องจากโรงเรียนไม่สามารถจัดการเรียนการสอนได้ตามปกติ นักเรียนจึงไม่ได้รับการสนับสนุนอาหารกลางวันและนมโรงเรียน ประกอบกับครัวเรือนก็มีรายได้ลดน้อยลงก็จะกระทบกับภาวะโภชนาการของนักเรียนด้วย
กระทรวงศึกษาธิการ จึงควรหารือกับนายกรัฐมนตรี ในการใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จัดสรรเงินรายหัวที่อุดหนุนโรงเรียนส่วนหนึ่ง จ่ายเป็นค่ายังชีพให้แก่นักเรียน สำหรับโรงเรียนเอกชนที่รับเงินอุดหนุนรายหัว ซึ่งเงินอุดหนุนดังกล่าวมีเงินเดือนของครูผู้สอนรวมอยู่ในนั้นด้วย ให้รัฐบาลพิจารณาใช้งบกลาง หรืองบประมาณจากเงินกู้ อุดหนุนเพิ่มเติม โดยให้ใช้มาตรการนี้ทั้งในเทอมนี้ และเทอมถัดไป จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะคลี่คลาย
6) ให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาแบบปลอดดอกเบี้ย
กระทรวงศึกษาธิการ ควรเสนอต่อรัฐบาล ให้พิจารณาตรา พ.ร.ก. กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยให้ผู้ปกครอง นักเรียน นิสิต นักศึกษา สามารถกู้ยืมเงินในระยะสั้น แบบปลอดดอกเบี้ย เพื่อการศึกษา ผ่านธนาคารพาณิชย์ โดยให้รัฐบาลรับผิดชอบดอกเบี้ย และค้ำประกันเงินกู้ให้
7) จ่ายเงินชดเชยเยียวยาเด็กที่สูญเสียพ่อแม่จากโควิด-19
กระทรวงศึกษาธิการ ควรเสนอต่อรัฐบาล ให้พิจารณาออก พ.ร.ก. ชดเชยเยียวยาแก่เด็ก และเยาวชนที่สูญเสียพ่อแม่ หรือผู้ปกครอง จากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด-19) โดยให้รัฐบาลอุดหนุนงบประมาณเพื่อเลี้ยงดู และส่งเสริมการศึกษา ให้กับเด็กเหล่านี้ โดยให้กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เป็นผู้จ่ายเงิน และติดตามผล
8) เร่งจัดหาวัคซีนฉีดให้นักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษา
เร่งจัดหาวัคซีนที่มีความปลอดภัย และมีประสิทธิผลต่อเชื้อกลายพันธุ์ มาฉีดให้กับนักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษา โดยมีกำหนดการ และแผนการฉีดวัคซีนที่ชัดเจน เพื่อให้โรงเรียนสามารถกลับมาเปิดการเรียนการสอนได้ตามปกติ ให้เร็วที่สุด
วิโรจน์ได้เน้นย้ำว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ณ วันนี้ เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับแล้ว เราอาจจะไม่สามารถกำจัดให้โรคๆ นี้ออกไปจากโลกใบนี้ได้ อย่างไรก็ตาม พัฒนาการ และการเรียนรู้ของเด็กๆ และประชาชนคนไทย มีความจำเป็นต้องเดินหน้าต่อ กระทรวงศึกษาธิการ มีความจำเป็นต้องวางกลยุทธ์ใหม่ วางหลักสูตรใหม่ กำหนดแผนการเรียนการสอนใหม่ จัดสรรงบประมาณใหม่ เพื่อสร้างความเป็นปกติใหม่ (New Normal) ของระบบการศึกษาไทย ได้แล้ว